เกษตร

เมื่อปลาหมอคางดำ กลายเป็นทางเลือกอาหารและเครื่องมือจัดการแหล่งน้ำ

แชร์ข่าว

ปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron) เป็น “ปลาสามน้ำ” คือ น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ในสกุล Tilapia เช่นเดียวกับปลานิล แม้จะอยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่บทบาททางนิเวศวิทยาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยปลาหมอคางดำจัดเป็น ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน (Invasive Alien Species) ที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศพื้นถิ่นไม่ว่าจะเป็นการแย่งอาหาร การใช้พื้นที่วางไข่ และการแข่งขันกับปลาเจ้าถิ่นในหลายแหล่งน้ำ

ขณะที่ โลกกำลังเผชิญปัญหาการจับสัตว์น้ำลดลงอย่างมาก งานวิจัยจาก SeaAroundUs ระบุว่าปริมาณการจับสัตว์น้ำทั่วโลกลดลงเฉลี่ย 1.2 ล้านตันต่อปีนับตั้งแต่ปี 1996 (https://www.seaaroundus.org/fisheries-research-overestimates-fish-stocks/?utm_source=chatgpt.com) ด้านรายงานของ IPCC ชี้ว่าโลกร้อนส่งผลให้ศักยภาพการจับสัตว์น้ำลดลง โดยอัตราการจับสูงสุดอาจลดลงประมาณ 4.1% ต่อทศวรรษ (https://www.ipcc.ch/srocc/chapter/chapter-5/?utm_source=chatgpt.com) เมื่อนำมาพิจารณาร่วมกับบทบาทของปลาหมอคางดำที่ “กินได้” จึงมีโอกาสเป็น ทางเลือกอาหารใหม่ที่ช่วยบรรเทาภาระการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำธรรมชาติและให้ระบบนิเวศบางส่วนได้พักตัว

อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งของปลาหมอคางดำ “สามารถบริโภคได้ตามปกติ” มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และปราศจากพิษตามที่บางกลุ่มสังคมเข้าใจผิด จึงมีศักยภาพในการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อช่วยควบคุมปริมาณประชากร แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบการจัดการที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กลายเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเพาะเลี้ยงหรือขยายพันธุ์เพิ่ม

ปลาหมอคางดำ มีลักษณะเด่นที่เอื้อต่อการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ได้แก่ ความทนทานต่อความเค็มสูงและต่ออัตราการสืบพันธุ์รวดเร็ว และเลี้ยงลูกในปาก (mouthbrooding) ทำให้อัตรารอดสูง, สามารถในการยึดครองพื้นที่แหล่งน้ำกร่อย, สามารถอยู่รอดในสภาพน้ำเสื่อมคุณภาพ

คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้เมื่อหลุดรอดสู่แหล่งน้ำธรรมชาติของไทย ประชากรเพิ่มจำนวนเร็ว และมีส่งผลกระทบต่อชนิดพันธุ์พื้นถิ่นหลายกลุ่ม โดยเฉพาะปลากินพืชและปลากินแพลงก์ตอนที่ใช้ทรัพยากรอาหารทับซ้อนกัน

แม้ปลาหมอคางดำจะเป็นชนิดรุกราน แต่สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย คุณค่าทางโภชนาการ (ต่อ 100 กรัม) มีโปรตีน 21.6 กรัม, ไขมัน 1.2 กรัม, พลังงาน 97 กิโลแคลอรี

ส่วนฟันของปลาหมอคางดำมีลักษณะเรียบ ไม่ใช่ปลากัดกินเนื้อ ไม่ใช่ปลามีพิษอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด จึงสามารถนำไปปรุงอาหารหรือแปรรูป เช่น ปลาป่น น้ำหมักชีวภาพ และผลิตภัณฑ์อาหารได้

การเพิ่มการใช้ประโยชน์เป็นหนึ่งในเครื่องมือควบคุม แต่ต้องระวังไม่ให้เกิดการเพาะเลี้ยงเพื่อการค้า เพราะจะสร้างแรงจูงใจในทางตรงกันข้าม คล้ายกรณีชนิดพันธุ์รุกรานในต่างประเทศที่ยิ่งสร้างตลาดยิ่งควบคุมยากขึ้น

เบื้องต้น การนำปลาหมอคางดำมาใช้เป็นวัตถุดิบทำน้ำปลา แม้จะเริ่มทำกันเพียงบางพื้นที่ แต่ถือเป็นตัวอย่างเชิงบวกของการ “นำออกจากธรรมชาติ” เพื่อควบคุมประชากรในแหล่งระบาด ไม่ได้หมายความว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าเพื่อส่งเสริมหรือสนับสนุนการแพร่พันธุ์ของปลาชนิดนี้ ดังนั้น การใช้ประโยชน์ควรอยู่ภายใต้การจัดการอย่างเป็นระบบและมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นหลัก

เมื่อมีการนำปลาหมอคางดำมาใช้ทดแทนปลากะตักหรือปลาขนาดเล็กจากทะเลซึ่งเป็นวัตถุดิบทำน้ำปลาอยู่เดิม ก็จะช่วยลดความจำเป็นในการจับปลาทะเลเหล่านั้น ส่งผลให้สัตว์น้ำในทะเลมีระยะเวลา “พักตัว” และมีโอกาสให้ลูกปลาวัยอ่อนได้เติบโตจนเป็นพ่อ–แม่พันธุ์และขยายจำนวนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ การนำปลาหมอคางดำมาทำเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น การทำเป็นปลาป่น เพื่อทดแทนปลาป่นที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบมาจากต่างประเทศก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการลดจำนวนประชากรปลาหมอคางดำได้

การกำจัดปลาหมอคางดำให้หมดจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นไปได้ยาก เพราะสภาพแหล่งน้ำของไทยมีความเชื่อมต่อสูง (hydrological connectivity) การเจริญพันธุ์รวดเร็ว และประชากรพร้อมสืบพันธุ์ตลอดปี

ดังนั้น การจัดการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการต้องประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ประกอบดัวย

1) การลดปริมาณผ่านการจับและใช้ประโยชน์ เป็นวิธีที่ทำได้ทันทีและช่วยลดผลกระทบเชิงนิเวศโดยตรง

2) การควบคุมพื้นที่แพร่ระบาด เช่น ติดตั้งกับดัก กั้นพื้นที่น้ำกร่อย หรือสร้างเขตกันชนในระบบนิเวศสำคัญ

3) การฟื้นฟูประชากรปลาเจ้าถิ่นควบคู่กัน เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรของระบบนิเวศ เพราะชนิดพันธุ์ต่างถิ่นมักเข้ายึดพื้นที่ที่ปลาท้องถิ่นที่อ่อนแอ

4) การใช้เทคโนโลยีติดตามประชากร เช่น e-DNA ที่สามารถตรวจพบร่องรอยดีเอ็นเอของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำได้อย่างรวดเร็ว ช่วยระบุพื้นที่ระบาดใหม่ และติดตามความสำเร็จของมาตรการควบคุมได้แม่นยำกว่าการสำรวจภาคสนามอย่างเดียว

ปลาหมอคางดำ จำเป็นต้องควบคุมอย่างจริงจัง และการนำมาใช้ประโยชน์ในระดับที่เหมาะสมสามารถเป็น “เครื่องมือหนึ่ง” ในการลดผลกระทบได้ หากดําเนินการอย่างมีระบบ ไม่สร้างแรงจูงใจให้เกิดการขยายพันธุ์หรือเพาะเลี้ยงเพิ่มเติม การจัดการที่ดีที่สุดต้องเป็นการผสมผสานระหว่าง การจับเพื่อใช้ประโยชน์, การควบคุมพื้นที่ระบาด, การฟื้นฟูปลาพื้นถิ่น และการติดตามด้วยเทคโนโลยี เช่น e-DNA เพื่อให้ประเทศไทยสามารถลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ และควบคุมประชากรปลาหมอคางดำให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยในระยะยาว

โดย : ผศ.ดร.ส.พญ.วรรณา ศิริมานะพงษ์ อาจารย์ประจำหน่วยสัตว์น้ำ ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ข่าวแนะนำ