การศึกษา

พัฒนาการเรียนรู้! เปลี่ยน AI จาก "ผู้ตอบ" เป็น "ผู้ถาม" ฝึกทักษะแก้ปัญหา-รู้ทันข้อมูลก่อนทำงานจริง

แชร์ข่าว

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ร่วมนำทัพนวัตกรรมการสอนผ่าน AI Chatbot ในรูปแบบ Role-Play ที่พลิกบทบาทจากเครื่องมือตอบคำถามมาเป็นผู้กระตุ้นให้นักศึกษาต้องลงมือค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเอง พร้อมสร้าง “สนามซ้อม” ให้ผู้เรียนฝึกปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีความซับซ้อนก่อนลงสู่สนามจริง ภายใต้โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา” ที่ร่วมขับเคลื่อนกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เพื่อหนุนยุทธศาสตร์ “AI for Education” ทั่วประเทศ มุ่งพัฒนาศักยภาพอาจารย์และผู้เรียนให้พร้อมสำหรับโลกการทำงานจริงเมื่อวันที่ 17–18 พฤศจิกายน 2568 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

AI-Role Play จำลองสถานการณ์ธุรกิจ ยกระดับทักษะปฏิสัมพันธ์เชิงลึก

อาจารย์ภควดี วรรณพฤกษ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรการท่องเที่ยวและธุรกิจอีเวนต์ DPU เป็นหนึ่งในวิทยากรหลักที่นำเสนอกรณีศึกษา Use Case ที่โดดเด่น โดยเน้นการใช้ AI Chatbot ผ่านกิจกรรมบทบาทสมมุติ (Role-Play) เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของวิชาบริการและการท่องเที่ยว ที่นักศึกษามักไม่มีโอกาสได้พบปะกับลูกค้าจริงจนกว่าจะถึงช่วงฝึกงานชั้นปีที่ 4

อาจารย์ภควดีอธิบายว่า กิจกรรมบทบาทสมมุติแบบดั้งเดิมในชั้นเรียนมีข้อจำกัด เนื่องจากนักศึกษายังไม่มีประสบการณ์จริงในการเป็นลูกค้า เมื่อเล่นบทบาทกับเพื่อนร่วมชั้นก็มักไม่สมจริง ทำให้ไม่ได้มุมมองการฝึกปฏิสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งตามหลักวิชา อีกทั้งหากให้นักศึกษาเป็นผู้สมมติบทบาทเองก็ยังขาดประสบการณ์และไม่สามารถจินตนาการได้ว่าลูกค้าเฉพาะทาง เช่น นักดูนกที่เตรียมข้อมูลมาอย่างดี จะมีข้อซักถามที่ซับซ้อนเพียงใด ตัวอย่างเช่น การสอบถามรายละเอียดเส้นทางท่องเที่ยวว่า “ระยะทางเท่าใด และมีความชันมากน้อยเพียงใด”

เพื่อแก้ปัญหานี้ อาจารย์ใช้ทักษะการสร้างตัวละครจากงานเขียนนิยายเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนโปรแกรมให้ AI ทำหน้าที่เป็น “ลูกค้า” ที่มีรายละเอียดครบถ้วน เช่น ตัวละครนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นชื่อ “ฮิโรชิ” โดยเปลี่ยนจากที่นักศึกษาใช้ AI เป็นเครื่องมือค้นหาข้อมูล มาเป็น AI ที่ถามและกระตุ้นให้นักศึกษาต้องค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกด้วยตนเอง พร้อมกำหนดบุคลิกภาพ และระดับความท้าทายของสถานการณ์ได้ตามความต้องการของผู้สอน

“เรากำหนดเขียนให้ AI ทำหน้าที่เป็นลูกค้าที่สอบถามรายละเอียดเชิงลึก AI จะถามนักศึกษาในเรื่องที่ต้องใช้ข้อมูลเฉพาะทาง เพื่อให้นักศึกษาต้องไปหาข้อมูลที่แม่นยำมาตอบ ซึ่งต่างจากเดิมที่ใช้ AI เพียงเป็นเครื่องมือค้นหาคำตอบ แต่ครั้งนี้ AI ถูกสลับบทบาทให้เป็นตัวกระตุ้นให้นักศึกษาลงมือค้นคว้าและประมวลผลข้อมูลด้วยตนเอง” อาจารย์ภควดีอธิบาย

การที่ AI สามารถสร้างตัวละครลูกค้าจำลองที่มีความซับซ้อน ยังช่วยให้นักศึกษาตระหนักว่าข้อมูลที่ต้องเตรียมไม่ใช่เพียงพื้นฐานทั่วไป แต่ต้องมีความละเอียดและรอบคอบเพียงพอที่จะตอบโจทย์สถานการณ์จริง การฝึกในลักษณะนี้จึงเปรียบได้กับการสร้างสนามซ้อม ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ทดลองรับมือกับคำถามเชิงรายละเอียด ก่อนเข้าสู่ประสบการณ์จริงในการทำงาน

สร้างทักษะ Critical Thinking ผ่านการเรียนรู้ข้อจำกัดของ AI

นอกเหนือจากการฝึกทักษะแล้ว การฝึกปฏิสัมพันธ์กับ AI ยังนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ นักศึกษาเริ่มเข้าใจ "ข้อจำกัดของ AI" เมื่อนักศึกษาทดลองถาม AI ตัวอื่นเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะทาง  ผู้เรียนจึงเกิดการเรียนรู้ว่าสำหรับข้อมูลที่ต้องการความแม่นยำ ควร "ไปดูจากเว็บไซต์โดยตรงเลย" เพราะจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ผลลัพธ์นี้ยังช่วยให้นักศึกษาเกิด "การคัดกรอง มีวิจารณญาณ" ในการใช้เครื่องมือดิจิทัล ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในโลกยุคปัจจุบัน

“นักศึกษาได้เห็น AI ในบทบาทที่ถูกออกแบบให้ส่งตัวเองไปอยู่ในบทบาทเป็นมนุษย์เสมือนจริง เช่น ลูกค้าที่มีความซับซ้อน ซึ่งการโต้ตอบนี้ทำให้ผู้เรียนได้เห็นทั้งความเป็นไปได้ในการใช้ AI เป็นเครื่องมือฝึกฝน และเห็นทั้งข้อจำกัดที่ชัดเจนของ AI ในแง่ของความถูกต้องของข้อมูลเฉพาะทาง เมื่อเทียบกับการค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้โดยตรง” อาจารย์ภควดี ระบุ

จากความสำเร็จในหลักสูตรการท่องเที่ยวและธุรกิจอีเวนต์ อาจารย์ภควดี ยืนยันว่า แนวคิด Role-Play นี้ไม่จำกัดเฉพาะสาขาดังกล่าวเท่านั้น แต่สามารถใช้ได้กับทุกอาชีพที่ต้องมี "ปฏิสัมพันธ์กับคน" โดยยกตัวอย่าง การฝึกนักศึกษาผู้ช่วยพยาบาลในการดึงข้อมูลจากคุณยายวัย 90 ปีที่มีปัญหาการได้ยิน เพื่อฝึกกระบวนการดึงข้อมูลจากผู้ป่วยในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับการทำงานจริง หรือการฝึกนักศึกษาแพทย์ในการพูดคุยกับคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายได้อีกด้วย โมเดลนี้จึงสามารถบูรณาการเข้ากับโครงสร้างหลักสูตรและรายวิชาที่มีอยู่ได้อย่างกลมกลืน และช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในกระบวนการเรียนการสอนโดยไม่บิดเบือนเป้าหมายหลักของแต่ละรายวิชาได้เป็นอย่างดี

วางฐานการสอนยุคใหม่ ขยายผลใช้งาน AI สู่สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ

เพื่อขยายผลสู่เป้าหมายระดับประเทศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้ผนึกกำลังกับ สป.อว. และเนคเทค สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา” โดยมีแนวคิดหลักในการใช้ AI เพื่อ “เสริมพลัง” ให้อาจารย์ ขยับบทบาทจากผู้ถ่ายทอดความรู้ไปสู่การเป็นผู้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ (Learning Designer) โดย ผศ.ดร.ธิติพงศ์ ตันประเสริฐ รองประธานคณะกรรมการขับเคลื่อน Embed AI ของ DPU และผู้พัฒนาระบบ AI อธิบายว่า แนวปฏิบัตินี้คือ “Safe Way” ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเริ่มต้นนำเครื่องมือดิจิทัลเข้ามาใช้ในสถานศึกษา โดยยังคงความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของข้อมูลเป็นหลัก

แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายผู้บริหารมหาวิทยาลัย นำโดย ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดี, ผศ.ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานวิชาการ และ ผศ.ดร.ศิริเดช คำสุพรหม รองอธิการบดีสายงานภาคีสัมพันธ์และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อน ที่ตั้งเป้าผลักดัน DPU สู่การเป็นผู้นำด้าน AI ภายในปีหน้า พร้อมวางแผนให้ทุกคณะใช้งาน AI ครอบคลุม 100%

โมเดล DPU ยังถูกออกแบบให้เป็นทั้ง Resource และ Blueprint ทางด้าน Pedagogy ที่สามารถนำไปปรับใช้และขยายผลต่อยอดในสถาบันอื่นได้ทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน DPU AI Teaching Assignment ถูกนำไปทดลองใช้งานแล้วกว่า 19 รายวิชา ครอบคลุม 10 หลักสูตร

สำหรับการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) และเนคเทค ยังมีกำหนดการดำเนินงานอีก 4 ครั้ง ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมกราคม 2569 โดยหมุนเวียนจัดที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี