หลายฝ่ายคาดหวังว่าในการแถลงนโยบายของพรรคภูมิใจไทย วันที่ 24 ธันวาคม 2568 จะมีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย อีก 2 คนที่เหลือในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ต่อจาก อนุทิน ชาญวีรกูล
แต่ปรากฏว่าเป็นการเปิดตัว “ดรีมทีม” ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี 3 คนแทน โดยเป็นอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลอนุทิน 1 ได้แก่ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่ “อนุทิน” เคลมให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ก่อนหน้านี้ กลับเป็นเพียงว่าที่รองนายกฯ คุมกระทรวงการคลัง, ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รองนายกฯ คุมกระทรวงพาณิชย์ และ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รองนายกฯ คุมการต่างประเทศ
ขณะที่ “อนุทิน” บอกเพียงว่า “แคนดิเดตนายกฯ ของคนอื่นไม่สำคัญ เพราะผมเป็นนายกฯ เอง” และยอมรับว่ารองนายกฯ ทั้ง 3 ท่านอาจยังไม่ชินกับการรับแรงปะทะทางการเมือง ตนจึงขออาสารับหน้าเสื่อแทนเพื่อให้ทุกคนทำงานได้อย่างสบายใจ
ขณะที่ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ย้ำว่าบนเวทีการแถลงนโยบายพรรคภูมิใจไทยในวันนี้ (24 ธ.ค. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ประกาศชัดเจนไปแล้วว่าตอนนี้มีตนเองเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งเดียว ส่วนนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นรองนายกรัฐมนตรี โดยจะมาควบคุมดูแลการทำงานในแต่ละด้าน ซึ่งเป็นเหมือนกับครั้งที่แล้ว พร้อมยืนยันว่าไม่มีตัวสำรอง
ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสังเกตว่า หากพรรคภูมิใจไทยจะมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวจริง ด้านหนึ่งอาจสะท้อนถึงความ "มั่นใจ" ในบารมี แม้อีกด้านหนึ่งอาจถูกมองว่า "ประมาท" ทางการเมือง หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นในอนาคต เช่น หลังการเลือกตั้งถ้าได้ สส. เข้ามาจำนวนมากและได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อาจถูกกระบวนการตรวจสอบและสกัดไม่ให้กลับเข้าตึกไทยคู่ฟ้าอีกครั้ง หรืออาจจะเกิดสะดุดกลางทาง
แม้ผู้คร่ำหวอดทางการเมืองอาจเชื่อว่า “อนุทิน” มี “ตัวช่วย” ในองค์กรอิสระต่างๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อเส้นทางนายกฯ ก็ตาม ทว่าการมีชื่อของ “อนุทิน” เป็นแคนดิเดตนายกฯ คนเดียวในเวลานี้ ก็อาจจะสรุปง่ายและสรุปเร็วเกินไป เพราะการมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนเดียวนั้นเป็น “เดิมพันสูง” และอาจเปิดช่องโหว่ให้ “นายกฯ คนนอก” หรือ “นายกฯ ส้มหล่น”
ซึ่งอาจย้อนแย้งกับสโลแกน “คาดเข็มขัดนิรภัย” หรือการเดินเกมการเมืองที่เน้นปลอดภัยไว้ก่อนอย่างที่ “อนุทิน” เคยประกาศไว้ แม้จะยังเหลือเวลาในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ให้ได้ลุ้นกัน หรือหากจะมีชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่จะมาจากบ้านใหญ่ ก็อาจจะเกิดปัญหามุ้งต่างๆ ตีกันในพรรคภูมิใจไทย การมีชื่อเดียวของอนุทินอาจปลอดภัยกว่า หรือไม่ต้องการให้ชื่อของใครมาฉุดเรตติ้งพรรคภูมิใจไทยก็เป็นได้







