ผลการสำรวจ “นิด้าโพล” ล่าสุด สะท้อน “กระแสการเมืองกรุงเทพฯ” เอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยโพลชี้ว่า “กระแส” ของพรรคประชาชน และ “หัวหน้าพรรค” คือ “เท้ง” ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ แคนดิเดตนายกฯ ยังมีมาแรง ยืนอยู่ในหัวใจคนกรุงเทพฯ
นิด้าโพล สะท้อนคะแนน ในส่วนของ “บุคคล” ที่คนกรุงเทพมหานครจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยหากเจาะเฉพาะ 4 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 47.25 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้
อันดับ 2 ร้อยละ 16.95 ระบุว่าเป็น ณัฐพงษ์ จากพรรคประชาชน อันดับ 3 ร้อยละ 10.90 ระบุว่าเป็น “อนุทิน ชาญวีรกูล” จากพรรคภูมิใจไทย อันดับ 4 ร้อยละ 9.00 ระบุว่าเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จากพรรคประชาธิปัตย์
ในส่วนของ “พรรคการเมือง” ที่คนกรุง จะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 40.20 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ , อันดับ 2 ร้อยละ 26.25 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชน
อันดับ 3 ร้อยละ 10.05 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย และ อันดับ 4 ร้อยละ 9.55 คือ พรรคประชาธิปัตย์
การเมืองในกรุงเทพฯ ว่ากันว่าเป็นเรื่องของ “กระแส” ที่สามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเข้า โค้งสุดท้าย ใกล้วันเลือกตั้งสส.8 ก.พ.ปีหน้า 2569 ปัจจัยหลายด้านที่จะเกิดขึ้น ล้วนเป็น “เงื่อนไข” ที่จะนำไปสู่การตัดสินใจ ช่วง “จุดหักเลี้ยว” ได้ทุกเมื่อ
และหากพิจารณาตามนิด้าโพล จะพบว่าในการเลือกตั้ง เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สนามกทม. เป็นการสู้กันระหว่าง “พรรคส้ม” กับ พรรคแดง คือ “พรรคเพื่อไทย” แต่ในครั้งนั้น พรรคเพื่อไทย แพ้กราวรูด เพราะเหลือสส.แค่เพียง 1 เขต ส่วน พรรคส้มขี่กระแส “พิธา” ทำกทม.ส้มไปทั้งเมือง
ขณะที่การเลือกตั้งรอบนี้ พรรคประชาชน ยังครองอันดับ 2 ทั้งกระแสพรรคและหัวหน้าเท้ง แต่อย่าลืมว่า “อันดับ 1” คือภาพสะท้อนที่พรรคส้ม และพรรคคู่แข่งต้องประเมินหนัก ว่า ยังคนกรุงเทพฯ ที่ไม่ตัดสินใจเลือกใครเลย ไม่ต่ำกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ และยังพบว่าเป็นสัดส่วนที่มากกว่า กระแสการสนับสนุน พรรคการเมืองและหัวหน้าพรรคค่อนข้างมาก
เท่ากับว่าในสัดส่วนของประชาชน ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร เพราะยังเห็นว่ายังไม่มีใครที่เหมาะสม คือ “ก้อนคะแนน”ที่ทั้งพรรคส้ม และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถูกมองว่า จะเป็น “คู่แข่งหลัก” ต้องช่วงชิงกระแสกันอย่างหนัก
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเอง ในการเลือกตั้งสส.ที่ผ่านมา พรรคสีน้ำเงินไม่เคยได้รับการสนับสนุนจากคนกรุงเทพฯ และในการเลือกตั้งปี 2562 และปี2566 พรรคภูมิใจไทยเองไม่ได้ส่งผู้สมัครลงสนามกทม.แต่อย่างใด แต่รอบนี้ พรรคภูมิใจไทย ใช้โมเดล ดึงอดีตสส.และอดีตผู้สมัครที่มีคะแนนดี จากพรรคอื่น มารวมกันเอาไว้ที่พรรคด้วยกันหลายคน
อย่างไรก็ดี สนามกทม. นั้นมีลักษณะเฉพาะ และเล่นกับกระแสเป็นหลัก เมื่อการกลับมาของอภิสิทธิ์ สามารถปลุกกระแส ในพื้นที่เป้าหมาย อย่างภาคใต้ได้อย่างชัดเจน ผ่านการสำรวจของโพลบางสำนัก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อภิสิทธิ์ จะมั่นใจว่าการเลือกตั้งรอบนี้ พรรคประชาธิปัตย์ “มีโอกาส” ทวงเก้าอี้สส. กทม. หลังจากที่ต้องพ่ายแพ้อย่างหนักมาแล้ว
สนามกทม. ยังมีลุ้นกันในห้วงโค้งสุดท้ายโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย หัวหน้าพรรคคนใหม่ เช่นเดียวกับพรรคประชาชน ที่ครั้งนี้ ก็ได้ ณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคคนใหม่ ที่มาแทนพิธา ต่างต้องพิสูจน์ ความฟีเวอร์ ทั้งเพื่อรักษาฐานเสียงเดิม และชิง “เค้ก” ก้อนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ที่ยังไม่เลือกใคร !







