ในห้วงเวลาที่ประเทศกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปราะบางที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี ทั้งไฟชายแดนที่ลุกโชน เศรษฐกิจที่แทบทรุดตัวลงต่อหน้าต่อตา และขบวนการสแกมเมอร์ที่ย่ำยีความปลอดภัยของประชาชนอย่างไร้ความเกรงกลัว สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือการร่วมแรงของผู้นำทุกฝ่ายเพื่อกอบกู้สถานการณ์ แต่ภาพตรงหน้ากลับสวนทางอย่างน่าตกใจ เมื่อนักการเมืองจำนวนหนึ่งยังคงเดินหน้า “หมกมุ่น” กับภารกิจแก้รัฐธรรมนูญ ราวกับว่าเป็นงานเร่งด่วนที่สุดของชาติ ขณะที่ปัญหาปากท้องของคนทั้งแผ่นดินกลับถูกปล่อยลอยเคว้งอยู่ในความเงียบงัน นี่จึงเป็นคำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า การ “เขียนกติกาใหม่” ครั้งนี้ แท้จริงแล้วเพื่อประชาชน หรือเพื่อใครกันแน่?
เสียงระเบิดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาที่ดังขึ้นแทบตลอดในหลายวันหลายคืนมานี้ ไม่ได้เป็นเพียงข่าวต่างจังหวัดที่คนกรุงเทพฯ อ่านผ่าน ๆ แล้วลืม หากคือสัญญาณเตือนว่าความมั่นคงของไทยกำลังสั่นคลอนอย่างแท้จริง พื้นที่ปะทะตั้งแต่ช่องบก ช่องอานม้า ไปจนถึงรอบปราสาทตาควาย–ตาเมือนธม กลายเป็นเขตอันตรายที่ไม่มีใครกล้ากลับบ้าน ชาวบ้านเป็นแสน ต้องอพยพเร่งด่วน บางคนมีเวลาเก็บข้าวของเพียง 10 นาที ขนเสื่อหมอนและรูปพระติดมือออกมา ภายใต้เสียงหวีดของจรวดที่ฉีกอากาศเหนือหัว
โรงเรียนกว่า 1,200 แห่งในจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และตราด ถูกสั่งหยุดการเรียนการสอนทันที หลายแห่งถูกใช้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวแทน สนามเด็กเล่นกลายเป็นลานแจกข้าวกล่อง ห้องเรียนกลายเป็นเตียงนอนของเด็กเล็กที่ไม่รู้ว่าบ้านตัวเองจะยังอยู่หรือไม่เมื่อกลับไป และโรงพยาบาลชายแดนมากกว่า 15 แห่ง ต้องย้ายผู้ป่วยอย่างฉุกเฉินเพื่อหลบการยิงปืนใหญ่ที่ตกลงใกล้เขตอาคารรักษา เหตุการณ์ที่ควรเรียกประชุมสภาฯ ฉุกเฉิน กลับถูกแทนที่ด้วยการพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญอย่างเอาจริงเอาจัง ราวกับเป็นภารกิจแห่งชาติที่สำคัญกว่าเสียงร้องของประชาชนที่กำลังตกอยู่ในพื้นที่สีแดง
โครงสร้างพื้นฐานตามแนวชายแดนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ถนนหลายสายถูกปิดเพราะกลายเป็นเส้นทางอันตราย ไฟฟ้าถูกตัดในบางชุมชนเพื่อป้องกันเหตุแทรกซ้อน เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อขนคนแก่ เด็กเล็ก และผู้ป่วยออกจากพื้นที่เสี่ยง ขณะที่ทหารต้องตรึงกำลังเพิ่มมากกว่าเดิม พลีชีพไปแล้วหลายนายเพื่อป้องกันการรุกล้ำของกัมพูชาเพิ่มเติม ความตึงเครียดระดับนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรถูกปล่อยให้ “คุกรุ่นเงียบ ๆ” แต่คือสถานการณ์ที่นักการเมืองต้องร่วมหาทางแก้ไขเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม
ทว่า สภาฯ ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารประเทศ กลับเต็มไปด้วยเสียงโต้วาทีเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ราวกับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในห้วงเวลานี้
เหตุผลที่หยิบมาใช้บังหน้าว่าอยากได้รัฐธรรมนูญที่ “ประชาชนมีส่วนร่วม” ฟังดูสวยหรู แต่เมื่อกลั่นแยกเนื้อหาที่ถูกเสนอออกมา กลับพบว่าเน้นหนักอยู่ที่การลดบทบาทองค์กรอิสระ ลดผลกระทบคดีการเมือง และเพิ่มพื้นที่ความปลอดภัยทางอำนาจให้พรรคตัวเองมากกว่าการมอบอำนาจให้ประชาชนอย่างแท้จริง คำถามที่คนไทยจำนวนมากเฝ้าถามในวันนี้จึงไม่ใช่ว่า “ควรแก้รัฐธรรมนูญไหม” แต่คือ “ทำไมต้องแก้ตอนประเทศกำลังวิกฤติที่สุด?”
เพราะขณะที่นักการเมืองกำลังถกเถียงเรียกร้องสิ่งที่ตัวเองต้องการในสภาฯ ชาวบ้านชายแดนต้องหอบลูกหอบหลานหนีตาย ขณะที่รัฐทุ่มงบหลายพันล้านไปกับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โครงสร้างพื้นฐานในแนวชายแดนกลับพังเสียหายโดยไม่มีแผนเยียวยาที่ชัดเจน ขณะที่บางพรรคการเมืองบอกว่า “เพื่อประชาชน”แต่ประชาชนจริง ๆ กลับนั่งเบียดกันอยู่ในศูนย์อพยพโดยไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับบ้าน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ระเบิดจากกัมพูชา แต่คือความเฉยชาของนักการเมืองที่ยังเชื่อว่ารัฐธรรมนูญสำคัญกว่าชีวิตของประชาชน ความล้มเหลวในการลำดับความสำคัญนี้สะท้อนวิกฤติทางศีลธรรมของชนชั้นการเมืองอย่างรุนแรงยิ่งกว่ากระสุนปืนใหญ่ลูกใดทั้งสิ้น
ก่อนจะเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรถามประชาชนให้ชัดก่อนดีไหมว่าประเทศนี้ต้องการอะไร ใช่ต้องการรัฐธรรมนูญใหม่จริง ๆ หรือ “ต้องการนักการเมืองชุดใหม่ที่รู้ว่าความมั่นคงและชีวิตประชาชนสำคัญกว่าเก้าอี้ตัวเอง”? เพราะตราบใดที่ปัญหาปากท้องยังไม่ถูกแก้ ความมั่นคงยังปั่นป่วน และประชาชนต้องหลบระเบิดกลางดึก การเขียนรัฐธรรมนูญที่วาดหวังว่า “จะพาประเทศก้าวไปข้างหน้า” ก็เป็นได้แค่กระดาษแผ่นหนึ่งที่ไม่มีความหมาย
ประเทศไทยไม่ได้ต้องการนักการเมืองที่เก่งการแก้กติกา หากต้องการนักการเมืองที่ “กล้าลงพื้นที่เมื่อประชาชนเดือดร้อน” และ “กล้ารับผิดชอบต่อสถานการณ์ชายแดนที่กำลังลุกเป็นไฟ” มากกว่า และเมื่อวันหนึ่งสถานการณ์สงครามเริ่มคลี่คลาย ประชาชนจะจำได้อย่างแม่นยำว่า ใครยืนอยู่ในสภาเพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง และใครยืนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเพื่อปกป้องชีวิตพวกเขาอย่างแท้จริง
#การเมืองไทย #แก้รัฐธรรมนูญ #วิกฤติชายแดน #ไทยกัมพูชา#วิกฤติชายแดนไทยกัมพูชา #แก้รัฐธรรมนูญเพื่อใคร #ไฟชายแดนลุกเป็นไฟ #ข่าวการเมืองร้อน #ThailandPolitics








