กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เมื่อการยื่นญัตติซักฟอกโดย “ฝ่ายค้าน” ถูกนำไปเชื่อมโยงกับจังหวะ “การยุบสภาฯ” ของ ฝั่งรัฐบาล อันจะส่งผลต่อความได้เปรียบสียเปรียบในทางการเมืองโดยปริยาย
การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ นับเป็น “เครื่องมือ” ที่ “ฝ่ายค้าน” จะใช้ตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งอยู่ในฐานะฝ่ายบริหารได้อย่างชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อการเมืองเข้าสู่โหมดคุกรุ่น “ฝ่ายค้าน” ทั้ง “พรรคเพื่อไทย” ในฐานะ “โจทก์เก่า” ตั้งท่าเตรียมยื่นซักฟอกรัฐบาล เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาฯ ในเดือนหน้า ธ.ค.นี้ ด้วยหวังจะ “คว่ำ” นายกฯคนที่ 32 คือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” กลางสภา ฯ
ส่วนพรรคส้ม “พรรคประชาชน” ที่ออกโรงเดินหน้าตรวจสอบ ทุนเทา ลุยเรื่องสแกมเมอร์ ผ่านทุกกลไกลของพรรค ทั้งในและนอกสภาฯ แต่ขณะเดียวกัน มีกระแสกดดันจากพรรคเพื่อไทย ว่าจะกล้ายื่นซักฟอกจริงหรือไม่ เพราะรัฐบาลชุดนี้ พรรคประชาชนก็เลือกกันเองมากับมือ
ต่อมานายกฯอนุทิน สู้กลับ ประกาศกร้าว รัฐบาลจะไม่ยอมให้ “ฝ่ายค้าน” ด่าฟรีๆ กลางสภาฯ หากยื่นมาเมื่อไหร่ ก็พร้อมที่จะใช้ อำนาจนายกฯ ประกาศยุบสภาฯ เช่นกัน เพราะการยุบสภาฯ ก่อนไทม์ไลน์ในห้วงสิ้นเดือนม.ค.68 เร็วก่อน 1เดือน คงไม่มีปัญหามากนัก
แต่ดูเหมือนว่า เมื่อสัญญาณการยื่นซักฟอกใกล้เข้ามา ทำให้เกิดคำถามว่าหากยื่นญัตติแล้ว นายกฯอนุทิน จะประกาศยุบสภาฯ ได้หรือไม่ ?
วันนี้ ปรากฏว่า ฟากรัฐบาล ทั้ง “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” โฆษกรัฐบาล และแกนนำพรรคภูมิใจไทย กับ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกฯ ในฐานะ “มือกฎหมายรัฐบาล” ออกมาตอบโต้ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาผู้แทนราษฎร กันอย่างดุเดือด
โดยชี้ว่า ประธานวันนอร์ ควรใช้ “มาตรฐาน” เดียวกันกลับเมื่อครั้งที่ “แพทองธาร ชินวัตร” อดีตนายกฯและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เคยถูก “ฝ่ายค้าน” ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ในครั้งนั้น ปรากฎว่ามีการกล่าวถึงบุคคลภายนอกคือ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ
“ ซึ่งประธานสภาก็ไม่บรรจุในวาระ และขอให้ฝ่ายค้านแก้ถึง 2-3 รอบ ก็ไปต่อรองกันว่าแก้เท่านี้ เท่านั้นพอไหมถึงจะรับเข้าบรรจุเข้าวาระให้ นี่คือสิ่งที่ประธานสภาทำในรัฐบาลที่ผ่านมา
จึงคิดว่าความเห็นของนายวันนอร์ ทั้ง 2 ครั้งขัดแย้งกันเอง ครั้งแรกบอกว่าต้องบรรจุในวาระก่อนถึงจะยุบไม่ได้ ครั้งที่สองบอกแค่ยื่นก็ยุบได้ ตนจึงเห็นว่าความเห็นทั้ง 2 ครั้งขัดแย้งกันกับสิ่งที่ทำมาในอดีต” สิริพงศ์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อ ( 19 พ.ย.68)
สำหรับเรื่องนี้จะมีเบื้องลึก อะไรหรือไม่นั้นสิริพงษ์ ระบุว่า ที่พูดเป็นความเห็นต่อข้อกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่านายกฯ จะยุบหรือไม่ยุบสภาไม่เกี่ยวไม่ใช่ประเด็นนั้น เพราะนายกฯ พูดเสมอว่าดำเนินการตามไทม์ไลน์ และพูดย้ำเสมอว่าวันที่ 31 ม.ค. 69
เวลานี้ ความหวั่นไหวทางการเมือง ที่มีความเชื่อมโยงกับญัตติซักฟอกรัฐบาล คือความเคลื่อนไหวจากฝ่ายรัฐบาลว่าจะ “ ยุบสภาฯ” เมื่อใดมากกว่า เพราะอย่าลืมว่า “อำนาจ” อยู่ในมือ “นายกฯอนุทิน”
และอย่าลืมว่า การยุบสภาฯเร็ว ใครจะพร้อม มากไปกว่า พรรคภูมิใจไทย ที่จัดวางกำลังทั้ง “ฝ่ายการเมือง” ควบคู่ไปกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำกันแทบทุกนัดของการประชุมครม.
ดังนั้นที่กำลังยื้อยุดและชิงเหลี่ยมกันระหว่าง ฝ่ายค้านกับรัฐบาล จึงอยู่ที่ว่า ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล ตาม มาตราใด
เพราะหากยังดึงดันที่จะยื่น ตามมาตรา 151ให้มีการโหวตลงคะแนน ย่อมทำให้ นายกฯอนุทินตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” แต่หากเลือกที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 152 คือการอภิปรายทั่วไป โดย “ไม่ลงมติ” จึงค่อยมา “ตกลงกันใหม่”
ล่าสุด นายกฯอนุทิน ก็บอกแล้ววา “ ถ้าอยากให้รัฐบาลโต้ตอบ และชี้แจงอย่างชัดเจน ก็ให้ยื่น 152 แต่ถ้าโอเคไม่สนใจอะไรแล้ว เอาเสียงมากล้มเสียงน้อยก็ยื่น 151 ซึ่งรัฐบาลต้องดูตัวเองว่าจะยอมให้เสียงมากมาล้มเสียงน้อยหรือไม่ ไม่ได้เป็นการหนี ซึ่งผมยืนยันว่าไม่ได้หนีเลย เพราะถ้ายื่น 152 จะอยู่จนครบแล้วจะไปวันที่ 31 ม.ค.69 แต่ถ้ายื่น 151 ก็เป็นสิทธิ์ของผม"
คราวนี้ก็อยู่ที่ว่า พรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชน จะเลือกทางไหน และถามตัวเองก่อนว่า “พร้อมเลือกตั้ง แล้วหรือยัง?”







