บทความการเมือง

“ย้อนโมเดลพิธา! ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ เสี่ยงสูง-กระแสพุ่ง หนังม้วนเดิม แต่(ไม่) จบแบบเดิม!!?”

แชร์ข่าว

สถานการณ์การเมืองในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2569 ได้เผยให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า พรรคประชาชน และณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ กำลังมีแนวโน้มทีจะพุ่งสูง สะท้อนจากผลการสำรวจความคิดเห็นของนิด้าโพลในหลายพื้นที่ โดยพรรคประชาชนได้รับคะแนนนิยมสูงอย่างต่อเนื่องทั้งในภาคอีสานและภาคเหนือ และล่าสุดคือภาคกลาง ซึ่งผลสำรวจเรื่อง "กระแสการเมืองภาคกลาง" ชี้ให้เห็นว่า พรรคประชาชนยังคงได้รับความนิยมในระดับสูงและเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลอนุทิน โดยคนส่วนใหญ่ในภาคกลางยังคงเลือกพรรคประชาชนเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้ง

ในส่วนของบุคคลที่คนภาคกลางสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น แม้ส่วนใหญ่ร้อยละ 35.65 จะระบุว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ แต่ชื่อของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ยังคงได้รับการสนับสนุนเป็นอันดับต้น ๆ โดยอยู่ในอันดับ 2 ด้วยคะแนนร้อยละ 19.60 ซึ่งสูงกว่า นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตามมาเป็นอันดับ 3 ที่ร้อยละ 12.75

พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ได้ให้ความเห็นผ่านรายการ มีเรื่อง LIVE ช่อง Jomquan (เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568) โดยชี้ว่า พรรคประชาชนเชื่อในหลักการเสนอแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียวเพื่อให้ประชาชนทราบอย่างชัดเจน แม้จะต้องส่งชื่อ 3 คนตามกฎหมายก็ตาม แต่ในการรณรงค์หาเสียงจะเน้นที่ ณัฐพงษ์ เป็นหลัก

แม้การวางกลยุทธ์เช่นนี้ทำให้สถานการณ์ของ “ณัฐพงษ์” มีความเสี่ยงสูง เพราะต้องไม่ลืมว่า ณัฐพงษ์เป็นหนึ่งใน 44 ส.ส. ที่ลงชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และกำลังอยู่ระหว่างการถูกสอบสวนจริยธรรมโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งคาดว่าผลจะออกมาในช่วงปลายปีนี้

กระบวนการดังกล่าวอาจนำมาซึ่งการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของหัวหน้าพรรคโดยตรง ซึ่งในด้านหนึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อขวัญและกำลังใจของพรรคก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่เดือน แต่อีกด้านหนึ่ง ท่ามกลางกระแสความนิยมที่พุ่งสูง การตัดสินของ ป.ป.ช. ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง อาจส่งผลต่อคะแนนนิยมของณัฐพงษ์ และกลายเป็นแรงส่งให้คะแนนนิยมของพรรคประชาชนพุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่คาดคิด เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในอดีต

จุดร่วมที่สำคัญที่สุดระหว่างณัฐพงษ์และพิธาในอดีต คือการที่ผู้นำทั้งสองคนต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงสูงสุดทางกฎหมาย ในขณะที่ "คะแนนนิยมส่วนตัว" กำลังพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุด และกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็น "คะแนนเสียงของพรรค" ในการเลือกตั้ง

แม้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่สถานการณ์ของณัฐพงษ์นั้นมีเดิมพันที่สูงกว่า เนื่องจากคดีของณัฐพงษ์เกิดจากการเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและเป็นแกนหลักทางความคิดของพรรค

หากผลการสอบสวนของ ป.ป.ช. ออกมาในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มกระบวนการที่จะนำมาซึ่งการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของณัฐพงษ์ จะเกิดปรากฏการณ์ในการเลือกตั้ง

ประการแรก พรรคอาจเกิดความปั่นป่วนชั่วคราว แต่จะสามารถปรับยุทธศาสตร์ได้ทันท่วงทีภายในเวลาที่เหลือ

ประการที่สอง กระแสความนิยมที่พุ่งสูงของณัฐพงษ์จะถูกแปลงสภาพเป็นพลังการลงคะแนนให้แก่พรรคประชาชน การตัดสิทธิ์ในขณะที่กระแสแรงจะสร้าง "แรงส่ง" ที่รุนแรงกว่าปกติ

ประการที่สาม คะแนนนิยมพรรคพุ่งสูง ฐานเสียงของพรรคจะรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งด้วยความรู้สึกที่ว่า "เมื่อเลือกผู้นำที่รักไม่ได้ ก็จะเลือกพรรคของผู้นำที่รักให้ชนะถล่มทลาย" ซึ่งจะแปรสภาพ "คะแนนสงสาร" และ "ความไม่พอใจต่อกลไกรัฐ" ให้กลายเป็นจำนวน ส.ส. ข้างมากในสภา

แต่ในรอบนี้ แม้จะขาด “ณัฐพงษ์” แต่พรรคประชาชนยังเหลือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีก 2 คน ที่คาดการณ์ว่าจะมีชื่อของ พริษฐ์ วัชรสินธุ และวีรยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ที่หากพวกเขาครองเสียงข้างมากในสภาและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จจริง ไม่ว่าจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยหรือพรรคภูมิใจไทย โอกาสที่จะได้มีนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคประชาชนก็มีสูง

เว้นแต่พรรคภูมิใจไทยจะกลับมาจับมือกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ที่จะผลักพรรคประชาชนไปเป็นฝ่ายค้าน เหมือนหนังม้วนเดิม!!!

อย่างไรก็ตาม เกมที่ “ณัฐพงษ์” กำลังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางกฎหมายที่สูงที่สุด แต่ท่ามกลางกระแสความนิยมที่สูงต่อเนื่องในวงกว้าง หากมีการตัดสินที่นำไปสู่การตัดสิทธิ์ทางการเมืองก่อนวันเลือกตั้งจริง สถานการณ์นี้จะกลายเป็น "จุดเปลี่ยนเกม" ที่จะทำให้พรรคประชาชนได้รับแรงส่งมหาศาล และมีความเป็นไปได้สูงที่จะบรรลุเป้าหมายการเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงข้างมากในสภาในการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2569

#ณัฐพงษ์เรืองปัญญาวุฒิ #พรรคประชาชน #เลือกตั้ง2569 #การเมืองไทย #ปชปใหม่ #พิธาโมเดล #แรงส่งการเมือง

ข่าวแนะนำ