การเมืองทั่วไป

“ปชน.”เปิดเกม “ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทย” ดัน 4 เครื่องยนต์ใหม่ สู่รัฐทันโลก

แชร์ข่าว

“ปชน..”ชูวาระ “ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทย” ยก 4 เครื่องยนต์ใหม่เคลื่อนประเทศ เอาจริงปฏิรูปภาครัฐเป็น “รัฐทันโลก” โปร่งใส-คล่องแคล่ว-เสริมอำนาจประชาชน-ตอบสนองทันสถานการณ์

วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคประชาชนจัดเวทีเสวนาหัวข้อ “ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทย” ร่วมเสวนาโดย “วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร” รองหัวหน้าพรรคประชาชน “ศิริกัญญา ตันสกุล” รองหัวหน้าพรรคประชาชน และ “สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์” ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) แขกรับเชิญ ทั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “รีชาร์จประชาชน” ที่พรรคจัดขึ้นเพื่อเปิดแนวนโยบายความมั่นคงใหม่ เศรษฐกิจใหม่ บริหารประเทศแบบใหม่ ไทย-ทัน-โลก

 

เริ่มต้นโดย “วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร” รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวในหัวข้อ “ฟื้นภาคการผลิตไทย ยุทธศาสตร์เชื่อมโลกใหม่” โดยเสนอนโยบาย “รีชาร์จเศรษฐกิจไทยด้วย 4 เครื่องยนต์ใหม่”

 

“วีระยุทธ” เริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า “การเมืองสีเทา” กำลังส่งผลกระทบด้านลบกับเศรษฐกิจไทยหลายทาง เพราะทำให้เงินไหลจากการทำมาหากินแบบปกติไปสู่เศรษฐกิจใต้ดิน ทำให้การจัดสรรงบประมาณเต็มไปด้วยความฉ้อฉล และบริการสาธารณะด้อยคุณภาพ ในขณะที่ผู้คนก็พลอยมองหาแต่ผลประโยชน์ระยะสั้นเฉพาะหน้า มุ่งหน้าหาแต่คอนเน็กชันการเมือง ส่วนคนเก่งๆ ก็หาทางไปทำงานต่างประเทศ

 

จากนั้น วีระยุทธจึงเสนอว่าหากได้รับความไว้ใจจากประชาชนให้เข้ามาบริหารประเทศ พรรคประชาชนพร้อมปรับยุทธศาสตร์ใหญ่ ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทยใน 4 เครื่องยนต์ ได้แก่ (1) พัฒนาทักษะคนไทยรูปแบบใหม่ (2) ยกเครื่องอุตสาหกรรมเก่าขึ้นเป็นอุตสาหกรรมใหม่ (3) หนุนเกษตรหลากหลาย สร้างดีมานด์กระตุ้นซัพพลาย และ (4) คอนเน็กไทยกับโลกเพื่อร่วมขบวนเทคโนโลยีแห่งอนาคต

 

เครื่องยนต์ที่ 1 พัฒนาทักษะคนไทยรูปแบบใหม่ จากงบประมาณปี 2568 พบว่างบสำหรับยกระดับทักษะคนวัยทำงานไม่ถึง 10,000 ล้านบาท เทียบกับงบปรับปรุงแหล่งน้ำ 30,000 ล้านบาท หรืองบซ่อมถนนที่สูงถึง 50,000 ล้านบาท สะท้อนว่าเราลงทุนใน “ทรัพยากรมนุษย์” น้อยเกินไป ที่แย่กว่านั้น คือในงบไม่ถึง 10,000 ล้านบาท เงินก็ไม่ถึงคนทั้งหมด เช่น งบกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 20% ถูกใช้ไปปรับปรุงอาคารไม่ใช่พัฒนาคน นอกจากนี้ ระบบราชการไทยยังมีแพลตฟอร์มเรียนรู้ออนไลน์ถึง 12 แพลตฟอร์ม กระจายอยู่ใน 5 กระทรวง โดยไม่เชื่อมต่อกันเลย

 

ดังนั้น หากจะยกระดับทักษะคนไทยให้แข่งกับโลกได้ เราต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำนโยบาย เริ่มตั้งแต่การจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้น ทั้งสำหรับคนทั่วไปและแบบเฉพาะเจาะจงรายอุตสาหกรรม ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องไม่ใช้ “รัฐนำ รัฐทำเอง” แต่ให้รัฐเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ แต่ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกคอร์สและรูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละคนเอง โดยมีการแข่งขันกันระหว่างเอกชนผู้ให้บริการ เพื่อให้เกิดราคาและคุณภาพที่ดีที่สุดกับผู้เรียน

 

เครื่องยนต์ที่ 2 ยกเครื่องอุตสาหกรรมเก่าขึ้นเป็นอุตสาหกรรมใหม่ ไทยสามารถยกระดับภาคการผลิตเพื่อตอบสนองต่อ “สังคมสูงวัย” ที่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม อุปกรณ์ไฟฟ้าเพื่อสุขภาพ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในบ้านที่ต้องยกระดับความปลอดภัยและติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัย หากยกระดับได้ เช่น จากการผลิตไดร์เป่าผมธรรมดา ไปเป็นไดร์เป่าผมที่มีเทคโนโลยีถนอมเส้นผม ราคาก็จะสูงขึ้นได้ 10 เท่า จาก 600 บาท เป็น 6,000 บาท

 

เราสามารถเป็น “สังคมสูงวัยที่มีความสุขและมีเทคโนโลยี” ได้ โดยรัฐสนับสนุนกองทุนยกระดับอุตสาหกรรมและภาคบริการ โดยไม่ต้องเน้นแต่การสร้างนวัตกรรมที่ไกลตัว แต่กระตุ้นให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพการผลิต ทำสินค้าให้เก่งขึ้น เติมอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงวัย ในขณะเดียวกัน ก็สนับสนุนกระบวนการตรวจรับรองมาตรฐาน ISO 13485 สำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไปพร้อมกับบูรณาการระบบการขึ้นทะเบียนสินค้าที่ปัจจุบันล่าช้าและขาดการประสานงานระหว่างแล็บทดสอบ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมทรัพย์สินทางปัญญา

 

เครื่องยนต์ที่ 3 หนุนเกษตรหลากหลาย สร้างดีมานด์กระตุ้นซัพพลาย ในด้านสินค้าเกษตร วีระยุทธยกตัวอย่าง “สตรอว์เบอร์รีญี่ปุ่น” ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของสายพันธุ์ ทำให้แต่ละเมืองแทบจะมีสตรอว์เบอร์รีเป็นของตัวเอง เพราะแตกต่างทั้งรูปร่าง ความแข็งความนิ่ม รสชาติ จนถึงระดับน้ำตาล

 

ที่สินค้าเกษตรญี่ปุ่นมีราคาสูง คุณภาพดีนั้น เกิดจากความต้องการอันซับซ้อนของชาวญี่ปุ่นเองด้วย เมื่อไปเที่ยวแต่ละเมือง คนญี่ปุ่นไม่ได้หวังจะกินสตรอว์เบอร์รีรูปร่างเดิม รสชาติเดิม แต่ต้องการไปลองหน้าตาใหม่ ความเปรี้ยวหวานแบบใหม่ ที่เกิดจากดินแต่ละเมืองและวิธีพัฒนาพันธุ์ที่ต่างกัน ดีมานด์อันรุ่มรวยของคนญี่ปุ่นเป็นตัวขับให้เกษตรกรแต่ละฟาร์มสามารถเข้าสู่ตลาดสตรอว์เบอร์รีได้เรื่อยๆ ประตูการค้าไม่ถูกตอกสนิทปิดตายจากรายใหญ่เจ้าตลาด เกษตรกรรุ่นใหม่ที่อยากเข้ามาแข่งขันก็สามารถเริ่มต้นพัฒนาพันธุ์ใหม่ เสาะหารูปแบบและรสชาติที่แตกต่างมาขายได้เสมอ แถมยังกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ชวนให้ผู้คนอยากออกเดินทางไปแสวงหา “รสชาติเฉพาะ” ของแต่ละเมือง.ในทางนโยบายมีรายละเอียดเรื่องสหกรณ์การเกษตร กลไกภาษี การกระจายอำนาจ ตลอดจนความสามารถในการผลิตเครื่องจักรกลที่เป็นองค์ประกอบผลักดันให้ภาคเกษตรญี่ปุ่นเดินมาถึงจุดนี้ แต่บทเรียนสำคัญข้อหนึ่งก็คือ จะจัดการสินค้าเกษตรให้เติบโตดีมีราคา ทำแต่ด้านผู้ผลิตอย่างเดียวไม่พอแน่นอน ต้องยกระดับดีมานด์ให้รุ่มรวยขึ้นไปด้วย เพราะถ้าผู้บริโภคไม่เรื่องมากพอ สินค้าก็จะไร้ความหลากหลาย พอสินค้าไร้ความหลากหลาย ก็จะมีแต่ผู้ผลิตรายเดิมที่กุมตลาดและช่องทางการขายไว้ ไม่มีพื้นที่เหลือให้ผู้เล่นหน้าใหม่กล้าคิดกล้าทดลอง .เครื่องยนต์ที่ 4 คอนเน็กไทยกับโลกเพื่อร่วมขบวนเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทย วีระยุทธเสนอว่าเราต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ด้านการต่างประเทศด้วย จากที่เราคาดหวังแต่เพียงการดึงดูดบริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุน และใช้ความสัมพันธ์ทางการทูตในกรอบเดิม ก็สามารถปรับมาสู่การเดินหน้าจับมือกับประเทศต่างๆ เพื่อร่วมลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ โดยเข้าใจความต้องการของแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน.เช่นญี่ปุ่นขาดพื้นที่การทดลองภายในประเทศ เราจึงควรร่วมมือกับรัฐบาลและบริษัทญี่ปุ่นสร้าง joint sandbox ในเทคโนโลยีใหม่อย่างพลังงานไฮโดรเจนหรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ในขณะที่เกาหลีใต้ขาดพื้นที่สำหรับกระจายความเสี่ยงการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไทยควรหาจุดที่ไปเชื่อมต่อในซัพพลายเชนร่วมกับเวียดนามและมาเลเซีย .วีระยุทธกล่าวทิ้งท้ายว่า หลังการเลือกตั้งปี 2569 จะไม่มีการเมืองสีเทาและเศรษฐกิจเก่าอีกแล้ว เพราะหากไม่กลายเป็นการเมืองสีขาวและเศรษฐกิจใหม่ ก็จะกลายเป็นยุคแห่งการเมืองสีดำ ที่มาพร้อมกับความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจใต้ดิน.จากนั้น ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวในหัวข้อ “สร้างรัฐทันโลก” ระบุว่า จากข้อเสนอของวีระยุทธ มีหลายเรื่องที่รัฐต้องทำ แต่แทนที่รัฐจะเป็นทางออกของปัญหาต่างๆ รัฐไทยหลายครั้งกลายเป็นปัญหาเสียเอง ดังนั้นเราไม่สามารถพาประเทศไปข้างหน้า ผ่านความท้าทายใหม่ๆ ของโลกได้ ถ้าเราไม่เริ่มจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรัฐไทย เพื่อให้เป็น “รัฐทันโลก” หรือ “future-ready” เตรียมความพร้อมรับมือกับอนาคตได้

 

โดย 4 โจทย์ใหญ่ของรัฐทันโลก ต้องแก้ปัญหาเรื้อรังที่มีมานาน ทั้งเรื่องโครงสร้างของรัฐที่ใหญ่โตเทอะทะ งบประมาณที่รวมศูนย์ กฎหมายที่ล้าสมัย ซึ่งทาง TDRI เคยเสนอเรื่องกิโยตินกฎหมาย แต่ 10 ปีที่ผ่านมา ยกเลิกกฎหมายได้เพียง 25% ดังนั้นถ้าจะยกเลิกให้ครบ 100% ต้องใช้เวลา 40 ปี รวมถึงปัญหาคอร์รัปชัน และเป็นรัฐที่ไม่สามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ดังนั้นเราต้องเสริมสมรรถนะใหม่ให้กับรัฐ สร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ ประชาชน เอกชน ภาคประชาสังคมไปด้วยกัน

 

อย่างแรก เราต้องการรัฐที่ CLEAN สู้กับคอร์รัปชัน ไม่ใช่ไปร่วมกับการคอร์รัปชันเสียเอง อย่างที่สอง ต้องการรัฐที่ LEAN กระฉับกระเฉงว่องไว ไม่อุ้ยอ้ายไปด้วยบุคลากรจำนวนมากที่อาจไม่ได้ใช้ถูกใช้อย่างเต็มศักยภาพ อย่างที่สาม รัฐที่ EMPOWERING ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเขามีอำนาจ สนับสนุนให้ประชาชนไปถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเองได้ และสุดท้ายรัฐที่ RESPONSIVE ตอบสนองอย่างว่องไวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนปัจจุบันที่รัฐออกมาช้าสุด ประชาชนต้องออกมาก่อน ดังนั้นต้องมีทั้ง 4 คุณสมบัตินี้ถึงจะเป็นรัฐทันโลก

 

เรื่องแรกที่ต้องทำคือ “การปฏิรูประบบงบประมาณ” ปัจจุบันงบประมาณของประเทศไทย แบ่งเป็น 4 ก้อนหลัก คือค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ เช่น เงินเดือนของข้าราชการ สวัสดิการตามกฏหมาย ประมาณเกือบ 2 ล้านล้านบาทจากงบประมาณในแต่ละปี ต่อมาคือค่าใช้จ่ายตามข้อผูกพัน เช่น งบผูกพัน ค่าเช่าตึกสำนักงาน ทุนการศึกษาของนักเรียนทุน ประมาณ 6.7 แสนล้านบาท ต่อมาคือค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เช่น ค่าไฟ บำนาญ ค่ารักษาพยาบาล ประมาณ 7.8 แสนล้านบาท นั่นเท่ากับจากงบประมาณเกือบ 4 ล้านล้านบาทในแต่ละปี เหลืองบที่จะเอาไปใช้พัฒนาประเทศ คิดโครงการใหม่ๆ ลงทุนในมนุษย์ เพียงประมาณ 6.8 แสนล้านบาท และน้อยลงเรื่อยๆ ทุกปี

 

ถ้าเราไม่เริ่มแก้จากตรงนี้ ไม่มีทางพาประเทศไปข้างหน้าได้ วิธีการทำคือต้องลดก้อนค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ ค่าใช้จ่ายตามข้อผูกพัน ค่าใช้จ่ายพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าพรรคไม่มีนโยบายตัดบำนาญ หรืออีกวิธีคือการยืดพื้นที่งบประมาณให้มากขึ้น ซึ่งจะได้จากการกู้เงินหรือต้องเก็บภาษีให้ได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ตามที่มีข่าวรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง พูดถึงการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% แต่ไม่ว่าเราเก็บเข้ามาเท่าไร ถ้ามันรั่วออกไปจากการคอร์รัปชันก็ไม่มีประโยชน์

 

เรื่องต่อมาคือการปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ที่ผ่านมาประเทศไทยชอบสร้างถนน สร้างตึกอาคาร สร้างแหล่งน้ำ มากกว่าสร้างคน รองลงมาคือการซื้อของ เฉพาะสองก้อนนี้รวมกันเป็นประมาณ 80% ของงบประมาณที่ใช้จัดซื้อจัดจ้างของทั้งประเทศ ถ้าเราสามารถทำให้เงินก้อนนี้สะอาดขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประหยัดงบประมาณได้ดีขึ้น เราจะมีเงินเหลือไปลงทุน กลับเข้ากระเป๋าของรัฐได้ทันทีประมาณ 200,000-300,000 ล้านบาท เยอะกว่าการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% ด้วยซ้ำ นี่เป็นเรื่องที่รัฐจำเป็นต้องทำ ปล่อยให้เรื่องเทาๆ เกิดขึ้นกับงบประมาณไทยต่อไปไม่ได้

 

นอกจากนี้เราต้องการระบบที่ดีที่จะป้องกันการโกง ในการปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้าง ต้องแบ่งตลาดให้ชัดเจนว่าเรากำลังพูดถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างประเภทไหน โดยสินค้ากลุ่มใหญ่ที่กินงบประมาณไปแล้วประมาณ 630,000 ล้านบาท คือสินค้าที่มีมูลค่าสูงแต่มีผู้ขายหรือผู้ค้าน้อยราย เช่นงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งแม้จะมีคู่แข่งน้อย แต่เราต้องทำพยายามทำให้เกิดการแข่งขันและความโปร่งใสให้ได้มากที่สุด ต้องทำความเข้าใจแต่ละตลาดจึงจะสามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชันในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแต่ละแบบได้

 

และท้ายที่สุด การเปิดเผยข้อมูลมีความสำคัญที่สุด เพราะแม้มี สส. 500 คน ก็มีดวงตาได้แค่ 500 คู่ แต่เมื่อไหร่ที่เปิดเผยข้อมูล จะมีดวงตาอีกเป็นสิบล้านคู่ที่จับจ้องตรวจสอบไปพร้อมกัน อย่างไรก็ดี ระบบเปิดเผยข้อมูลปัจจุบันของกรมบัญชีกลาง (electronic government procurement) มีการเปิดเผยข้อมูลในช่วงก่อนทำสัญญา ช่วงทำสัญญา แต่ไม่เคยเปิดเผยช่วงหลังทำสัญญา เช่น การบริหารสัญญา การแก้สัญญา ความคืบหน้าโครงการ บริษัททิ้งงาน 

 

กรณีตัวอย่างคือตึก สตง.ถล่ม ซึ่งมีหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในนั้นคือมีการแก้ไขสัญญาโดยที่ประชาชนไม่รู้เรื่องและไม่สามารถล่วงรู้ได้เพราะข้อมูลส่วนนี้ไม่เคยถูกเปิดเผย ทั้งที่กรมบัญชีกลางมีข้อมูลทั้งหมด จึงกลายเป็นจุดบอด ถ้าเปิดเผยข้อมูลได้ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จะสามารถป้องกันการทุจริตในอนาคตได้โดยใช้เทคโนโลยี เช่น AI เข้ามาช่วยในการจับพิรุธ แจ้งเตือนก่อนว่าโครงการไหนผิดปกติ ต้องเข้าไปตรวจสอบหรือไม่.นอกจากนี้เราต้องการรัฐที่ฉลาดและมีความสามารถ หลายเรื่องถ้าจะผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้ต้องใช้กลไกที่รัฐอาจไม่คุ้นชินในปัจจุบัน เช่นการให้เงินอุดหนุน รัฐต้องกล้าเสี่ยงในเรื่องนี้ หากประเมินความคุ้มค่าตามหลักวิชาการแล้วว่าบริษัทไหนที่ควรได้รับการสนับสนุน รัฐต้องกล้าเสี่ยงในเรื่องนี้ รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างแบบมียุทธศาสตร์.

ปิดท้ายด้วย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งเป็นแขกรับเชิญ กล่าวในหัวข้อ “สร้างงานดี เศรษฐกิจมีพลวัต ภารกิจเร่งด่วนรัฐบาลหน้า” ระบุว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงเหลือเพียงประมาณ 2% หากดูการประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในปีหน้า 2569 ประเทศไทยจะเติบโตต่ำที่สุดในเอเชียตะวันออก เหนือกว่าญี่ปุ่นประเทศเดียว ถ้าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ ประเทศไทยจะไม่สามารถหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง โดยปัจจุบันรายได้ต่อหัวที่จะก้าวเป็นประเทศรายได้สูงอยู่ที่เกือบ 14,000 ดอลลาร์ต่อปี ขณะที่ประเทศไทยตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 7,100 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี หรือประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ขั้นต่ำของประเทศรายได้สูง

 

แม้เศรษฐกิจไทยโตช้า แต่คนไทยไม่ว่างงาน อัตราการว่างานต่ำกว่า 1% อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่แค่การมีงานทำ แต่ต้องเป็น “งานที่ดี” ข้อเท็จจริงที่เราเป็นห่วง คือจาก 15 ปีย้อนหลัง ข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อเศรษฐกิจพัฒนาไป ผลจากการพัฒนาตกกับคนทำงานน้อยลงเรื่อยๆ และเมื่อเศรษฐกิจยิ่งโตช้า คนที่จะเดือดร้อนคือคนรายได้น้อย

 

ประเทศไทยเจอกับโจทย์ที่ท้าทาย ทั้งเรื่องคอร์รัปชัน ธรรมาภิบาล การฟอกเงิน ซึ่งมีแนวโน้มน่าเป็นห่วง ตนได้ยินมาจากการพูดคุยกับคนในวงการการเงิน ว่าตอนนี้มีบรรดาผู้มีอิทธิพลในเมืองไทยกำลังสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ คือการเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานแก่การฟอกเงิน เช่น บริษัทในตลาดหุ้น ธนาคาร บริษัทจดทะเบียน คริปโทโคเรนซี โดยจะมีรายได้จากการทำให้แหล่งเงินนอกระบบมาอยู่ในระบบ นี่เป็นโมเดลที่น่ากลัวอย่างยิ่ง และอาจทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่ไว้วางใจที่จะฝากเงินไว้ในประเทศไทย

 

ดังนั้น โมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศไทย ไม่ใช่การดึงดูดการลงทุนเยอะๆ แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในปีนี้จะทำลายสถิติของปีที่แล้ว แต่ปัญหาคือประชาชนทั่วไปไม่ได้รู้สึกว่ารายได้ของตัวเองดีขึ้น หรือทำมาหากินดีขึ้น ดังนั้นการสร้างงานที่ดี ควรเป็นโจทย์ทางการเมืองที่สำคัญที่จะตอบโจทย์ผู้ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งที่จะถึงได้ แต่การจะได้งานที่ดีก็ต้องมีทักษะที่ดี ดังนั้นต้องสร้างทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กัน

 

ที่ผ่านมาถ้าดูว่าทำไมเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำ คำอธิบายมี 2 ชุด ชุดแรกคือศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจเราสูง เพียงแต่ตอนนี้เราอยู่ในช่วงขาลง วิธีแก้คือต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่าย ซึ่งมันจะได้ผลถ้าศักยภาพของเราสูง แต่ปัจจุบันตนกำลังสงสัยว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำเพราะศักยภาพต่ำด้วยหรือไม่ หมายความว่าโตได้แค่นี้ เพราะเครื่องจักรในด้านการผลิตอ่อนแอลง การไปกระตุ้นเศรษฐกิจจึงไม่ได้ผลมาก 

 

เปรียบเสมือนเครื่องบินลำหนึ่ง เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทยจะมี 2 ด้าน คือการบริโภค กับ การผลิต แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้เครื่องยนต์ด้านการบริโภคเยอะมาก เช่น นโยบายคนละครึ่ง การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การกระตุ้นการลงทุนของเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ ทำแบบนี้เยอะจนเริ่มเป็นความเสี่ยงทางการคลัง 

 

ซึ่งต้องฝากทุกพรรคการเมืองระมัดระวัง ว่าถ้ายังใช้จ่ายภาครัฐ สร้างหนี้ไปเรื่อยๆ จะเกิดความเสี่ยง เช่นปีหน้าประเทศไทยอาจถูกทบทวนเครดิตเรตติ้ง ถ้าลดลงเท่ากับประเทศในอินโดจีนเช่นเวียดนาม จะแปลว่าอัตราการกู้ยืมของภาครัฐจะสูงขึ้น เงินที่จะเอาไปลงทุนก็ต้องหายไปอีกเพราะต้องเอาไปใช้หนี้ ดังนั้นเครื่องยนต์ด้านการบริโภคจึงมีขีดจำกัดแล้ว ขณะที่เครื่องยนต์ด้านการผลิต ยังทำน้อยมาก จึงเปรียบเหมือนเครื่องบินที่บินแล้วเอียง ไปต่อไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำ คือต้องยกระดับด้านการเกษตร ด้านอุตสาหกรรม การบริการ บริการของรัฐ ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อให้เครื่องยนต์ทั้งสองข้างสมดุลกัน

 

ทั้งนี้ เหตุผลที่ด้านการผลิตของไทยไม่ค่อยเข้มแข็ง มี 3 สาเหตุสำคัญ (1) ขาดแรงงาน จากอัตราการเกิดที่ต่ำต่อเนื่อง และมีคนตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนซึ่งจำนวนมากอยู่ในวัยแรงงาน รวมถึงเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ และการถูกบังคับเกณฑ์ทหาร ซึ่งต้องตั้งคำถามว่าทุกวันนี้มีจำนวนมากเกินไปหรือไม่ อีกทั้งคุณภาพการศึกษายังมีปัญหา 

 

(2) ขาดการลงทุนที่เหมาะสม งบลงทุนของภาครัฐลดลง การลงทุนจากต่างประเทศไม่เชื่อมกับเศรษฐกิจภายใน จึงไม่สร้างงานดีให้คนไทยเท่าที่ควร กฎระเบียบมีปัญหา และ (3) ผลิตภาพหรือประสิทธิภาพต่ำ  เช่น ไม่ได้ลงทุนวิจัยพัฒนา ยกตัวอย่างการปรับปรุงพันธุ์ข้าว รัฐบาลเอาเงินไปอุ้มราคาข้าวปีละประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท แต่ปรับปรุงพันธุ์ข้าวใช้งบแค่ประมาณ 100 ล้านบาทเท่านั้น อีกความท้าทายคือทุกวันนี้ใครทำอุตสาหกรรมจะเหนื่อยมาก เพราะต้องแข่งกับสินค้าจีนที่ผู้ผลิตลดราคาลงต่อเนื่อง ใครผลิตสินค้าแข่งกับจีนก็ต้องหั่นราคาสู้กันไปเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ 

 

เช่นนี้แล้วคนไทยจะทำมาหากินอย่างไร จะโตต่อไปอย่างไร TDRI เสนอ 2 ความคิด (1) ต้อง LEAN เข้าไว้ ใช้ทรัพยากรให้คุ้ม เพราะแรงงานเรามีน้อย ใช้เงินทุนที่มีอยู่จำกัดอย่างเต็มที่ และ (2) ต้องสร้างเครื่องจักรใหม่แห่งการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร อุตสาหกรรม การบริการ เช่น ธุรกิจถ่ายทำภาพยนตร์ ธุรกิจร้านอาหารที่ต้องยกระดับมาตรฐาน การยกระดับสินค้าเกษตร เพราะเศรษฐกิจไทยจะไม่มีเครื่องจักรตัวใหญ่ๆ มาแบกเหมือนในอดีตอีกแล้ว เราต้องทำให้เกิดอุตสาหกรรมหลากหลาย เกิดธุรกิจหลากหลายเพื่อแบกเมืองไทยให้ดีขึ้น

ข่าวแนะนำ

แชร์ข่าว