วันที่ 16 ธันวาคม 2568 ที่ศาลาว่าการ กทม. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับความผันผวนของการเมืองระดับชาติที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าถึงแม้สถานการณ์การเมืองใหญ่จะมีความไม่แน่นอน แต่การบริหารงานของกรุงเทพมหานครยังคงมีเสถียรภาพ นายชัชชาติระบุว่า ในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ประเทศไทยมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 4 คน และหากรวมผู้รักษาการด้วยก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงถึง 7 คน อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงภาพใหญ่ เชื่อว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการบริหาร กทม. มากนัก
ส่วนประเด็นที่อาจน่ากังวล คือโครงการที่จำเป็นต้องมีความต่อเนื่องและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง เช่น โครงการจัดการน้ำ หรือโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องมีการพิจารณาร่วมกับหลายจังหวัด ตัวอย่างของโครงการระดับชาติที่ต้องขอความร่วมมือ คือโครงการสร้างแนวป้องกันคลื่นทะเลที่สูงขึ้นในอ่าวไทย ซึ่งคล้ายกับที่เนเธอร์แลนด์หรือเดนมาร์ก การดำเนินการโครงการลักษณะนี้อยู่ภายนอกเขต กทม. และต้องให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สสช.) เป็นเจ้าภาพในการศึกษา เชื่อว่าหากโครงการเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง และสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงได้ รัฐบาลใหม่ก็จะดำเนินการต่อ ไม่น่ามีเรื่องที่ต้องกังวล
นอกจากนี้ ประเด็นหนี้สินมหาศาลของ กทม. ก็เป็นเรื่องที่ต้องพึ่งพาการตัดสินใจจากรัฐบาลกลางเช่นกัน โดย กทม. ได้ใช้เงินไปแล้วกว่า 70,000 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย หนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลกลางอาจจะเข้ามาช่วยได้ คือการซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนเพื่อเปลี่ยนเป็นผู้ถือครองรายเดียว (Single Ownership) ซึ่งเป็นหลักการที่ผ่านความเห็นชอบร่วมกันจากหลายหน่วยงาน และอยู่ระหว่างการเจรจา หากรัฐบาลกลางดำเนินการเรื่องนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
นายชัชชาติ ยืนยันว่า กทม. สามารถทำงานร่วมกับรัฐบาลได้ทุกชุด เนื่องจาก กทม. ไม่ได้ผูกติดกับพรรคการเมืองใด และเชื่อว่าหากนโยบายที่นำเสนอเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง รัฐบาลใดเข้ามาก็พร้อมจะสนับสนุน
ในด้านการบริหารจัดการภายใน กทม. นายชัชชาติ กล่าวว่า ได้เน้นย้ำถึงการปฏิรูประบบราชการโดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย ซึ่งหัวใจสำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity) ของการทำงาน โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด แต่ให้ได้ผลงานที่มากที่สุด โดยปัจจุบัน กทม. ได้รับความเชื่อมั่นอย่างมากจากภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาควิชาการ ซึ่งถือเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเมือง โดยเฉพาะการที่ประชาชนแจ้งเรื่องผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น ทราฟฟี่ ฟองดูว์ มากกว่า 1 ล้านเคส สะท้อนถึงความไว้ใจที่เกิดขึ้น
สำหรับอนาคต หากมีการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง นโยบายที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาจะต้องมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต ที่สามารถดึงดูดคนเก่งให้อยู่กับเมืองได้ เนื่องจากสี่ปีข้างหน้าเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี ซึ่งหากเมืองขาดนโยบายที่ดีและผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้กรุงเทพฯ ก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงและแข่งขันได้ยาก
"การเมืองท้องถิ่นของเราค่อนข้างมีเสถียรภาพ ผมอยู่มาน่าจะผ่านนายกรัฐมนตรีคนที่สี่แล้วที่จะเลือกตั้งใหม่ ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงภาพใหญ่ อาจไม่ได้มีผลอะไรมากกับกรุงเทพมหานคร ส่วนที่เรากังวลอาจเป็นโครงการที่ต้องมีความต่อเนื่องกับรัฐบาล เช่น โครงการเรื่องน้ำ การทำเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายทะเลที่ต้องร่วมกันหลายหน่วยงาน และเรื่องอื่น ๆ เช่น การผลักดันแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่เชื่อว่าข้อเท็จจริงและความจำเป็นไม่ได้เปลี่ยนไป ถ้าเราสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงได้ว่าโครงการเป็นประโยชน์กับประชาชนจริง ๆ ผมคิดว่าจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ และไม่น่ากังวลอะไร ผมอยู่มาหลายรัฐบาลแล้วเราอยู่กับทุกคนได้ เราก็รู้ว่าฐานะเราก็เป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร เราพยายามหาแนวทาง ผมเชื่อว่าถ้าเรามีนโยบายที่ดี รัฐบาลไหนมาเขาก็พร้อมจะไปกับเรา ถ้าประชาชนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ใครมาก็ไปได้ด้วยกัน" นายชัชชาติ กล่าว








