คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ /ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
อีกแค่เพียงหนึ่งปีเท่านั้น ก็จะมีการเลือกตั้งกลางสมัยในวาระที่ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” บริหารบ้านเมืองมาแล้วครึ่งสมัย นั่นก็คือ 2 ปี
โดยการเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นเรื่องที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ชาวอเมริกันยังคงมีความนิยมชมชอบต่อเขามากน้อยเพียงใด? และในวันที่ 3 พฤศจิกายน ปีค.ศ. 2026 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีทั้งหมด 435 คนก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมดด้วยเช่นกัน! โดยขณะนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดอยู่ในค่ายพรรครีพับลิกันมีอยู่ที่ 219 คน และที่สังกัดอยู่ในค่ายพรรคเดโมแครตมี 213 คน และขณะนี้ยังมีจำนวน ส.ส. ที่ว่างอยู่ 3 ที่นั่ง
ส่วนนักการเมืองในวุฒิสภาที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกมีทั้งหมด 100 คน โดยวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ สามารถจะดำรงตำแหน่งได้ 6 ปี แต่ในปีหน้าที่จะถึงนี้ จะมีการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกใหม่หนึ่งในสาม นั่นก็คือจะมีการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกกันใหม่ 33 คน โดยจะมีวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกัน 20 คน และวุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครต 13 คน
ขณะนี้สัดส่วนของวุฒิสมาชิกจะมีดังนี้ พรรครีพับลิกันจะมีวุฒิสมาชิกดำรงตำแหน่งอยู่ในวุฒิสภาอยู่ที่ 53 คน และวุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครตจะมีอยู่ที่ 47 คน
ในช่วงสิบเอ็ดเดือนที่ผ่านมานี้พิสูจน์ให้เห็นได้เป็นอย่างดีแล้วว่า ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ ตามที่เขาต้องการได้อย่างสมใจนึก สืบเนื่องมาจากพรรครีพับลิกันนั่งครองเสียงข้างมากอยู่ในสภาคองเกรส
แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า การเลือกตั้งพิเศษที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2025 ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่เดือนนี้ ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนหน้าการเลือกตั้งกลางสมัยจะมาถึง โดยการเลือกตั้งอุ่นเครื่องครั้งนี้ปรากฏออกมาว่า นักการเมืองของพรรครีพับลิกันที่ประธานาธิบดีทรัมป์ให้การสนับสนุนทั่วประเทศต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินระเนระนาด ยกตัวอย่างอาทิเช่น “โซห์ราน มัมดานี” นักการเมืองหน้าใหม่สังกัดอยู่ในค่ายพรรคเดโมแครต โดยนักการเมืองผู้นี้มีจุดยืนในระบอบสังคมนิยม ที่เขาถูกประธานาธิบดีทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์โจมตีอย่างหนักว่า “เป็นคอมมิวนิสต์” แต่กลับชนะอย่างถล่มทลาย
จนได้รับเลือกให้เข้าไปดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีแห่งนครนิวยอร์กคนใหม่เอี่ยมถอดด้าม และแทบไม่น่าเชื่อว่า หลังจากว่าที่นายกเทศมนตรีโซห์ราน มัมดานี ได้รับเลือกในตำแหน่งนายกเทศมนตรีแห่งนครนิวยอร์กแล้ว ก่อนหน้านี้จากที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยเห็นว่า เขาคือศัตรูคู่ปรับที่จะต้องตั้งหน้าตั้งตากระหน่ำทิ่มแทงโจมตี แต่ไม่กี่วันมานี้ประธานาธิบดีทรัมป์กลับเอ่ยปากเชื้อเชิญให้ ว่าที่นายกเทศมนตรีโซห์ราน มัมดานี เข้าไปนั่งพูดคุยกันที่ทำเนียบขาว เหมือนดั่งไม่เคยเหม็นขี้หน้ากันมาก่อนเลย!
เป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่า เมื่อครั้งที่โซห์ราน มัมดานี กำลังหาเสียงอยู่นั้น เขามี “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” เข้าไปรับหน้าที่ที่ปรึกษา จนมีผลให้ชาวอเมริกันต่างเริ่มคิดและมีการพูดคุยกระจายกันไปอย่างหนาหูว่า โซห์ราน มัมดานี อาจจะกลายเป็นนักการเมืองที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกันกับ ประธานาธิบดีโอบามาก็ได้
และหากจะย้อนกลับไปดูคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ในขณะนี้ ปรากฏให้เห็นว่า คะแนนนิยมของเขาตกฮวบลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจครั้งล่าสุดของ “นิตยสาร The Economist” ที่ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ลดลงเหลือเพียงแค่ 38% โดยคะแนนที่คนอเมริกันไม่นิยมชมชอบเขากลับมีเพิ่มขึ้นถึง 57% แม้กระทั่งชาวลาตินที่เคยให้การสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ จนมีผลทำให้เขาได้รับชัยชนะเข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สอง ก็ปรากฏให้เห็นว่าขณะนี้ความนิยมลดลงไปกว่า 25% เลยทีเดียว
สำหรับประเด็นที่มีผลทำให้ชาวอเมริกันเกิดความไม่พึงพอใจต่อประธานาธิบดีทรัมป์ ได้แก่ ประเด็นในเรื่องเงินเฟ้อ และในเรื่องภาวะเศรษฐกิจ
ส่วนกรณีเรื่องการ ชัตดาวน์ ปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลาง ที่ปรากฏให้เห็นว่ามีติดต่อกันอย่างเป็นประวัติการณ์ที่ยาวนานที่สุดถึง 43 วัน จนชาวอเมริกันส่วนใหญ่ออกมากล่าวตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์ และนักการเมืองของพรรครีพับลิกัน และยังมีประเด็นที่ขณะนี้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต่างวิตกกังวลกันที่สุด นั่นก็คือ “โปรแกรมสวัสดิการสุขภาพ” ที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา สร้างเอาไว้จนเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง แต่กลับปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต้องการที่จะยกเลิก และอาจจะเป็นผลสำเร็จในปลายปีนี้
แต่อย่างไรก็ตามจากการหลอกล่อของประธานาธิบดีทรัมป์ที่อยู่เบื้องหลังฉาก โดยเขามอบหมายให้ “วุฒิสมาชิกจอห์น ทูน” แกนนำของพรรครีพับลิกันออกมาให้คำมั่นสัญญากับแกนนำของพรรคเดโมแครต 8 คนว่า หากยกมือยอมให้งบประมาณผ่านจนสามารถยกเลิกการชัตดาวน์ลงได้ พรรครีพับลิกันก็จะเจรจาให้มีการต่อโปรแกรมด้านสวัสดิการสุขภาพในเดือนธันวาคมนี้ แต่ดูเหมือนว่าคำมั่นสัญญาที่มีประธานาธิบดีทรัมป์อยู่เบื้องหลังยังคงลม ๆ แล้ง ๆ เหมือนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
และจากการหยั่งเสียงของสำนักโพลแทบทุกสำนักที่ต่างออกมาเปิดเผยในทำนองเดียวกันว่า โอกาสที่พรรคเดโมแครตจะชนะ จนสามารถเข้าไปนั่งคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งกลางสมัยที่ใกล้เข้ามานี้มีโอกาสสูงมากทีเดียว และหากว่าพรรคเดโมแครตสามารถได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งกลางสมัยวันที่ 3 พฤศจิกายน ปีค.ศ. 2026 พรรคเดโมแครตก็คงจะทำทุกวิถีทางที่จะหาทางปลดประธานาธิบดีทรัมป์ ให้กระเด็นออกจากตำแหน่งอย่างแน่นอน แต่หากพรรครีพับลิกันยังสามารถนั่งครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา เรื่องราวเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหากการเลือกตั้งกลางสมัยวันที่ 3 พฤศจิกายน 2026 พรรคเดโมแครต สามารถได้รับเลือกให้ไปนั่งคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ก็จะมีผลทำให้ “ประธานสภาฯ ไมค์ จอห์นสัน” ที่เคยสนับสนุนในโปรแกรมต่าง ๆ ของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ก็จะต้องกระเด็นหลุดออกจากตำแหน่งไป และหลังเลือกตั้งกลางสมัยปีหน้า หากพรรคเดโมแครตสามารถคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ได้จริง ๆ โปรแกรมต่าง ๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์ หวังและตั้งใจที่จะทำ ก็คงจะโดนคุมกำเนิดยากที่จะเกิดขึ้นได้ จนเขาต้องกลายเป็นเป็ดง่อยเดินขาตุปัดตุเป๋ไปมาละครับ







