AVEVA ผู้นำระดับโลกด้านซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมได้เผยแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับภาค อุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทยให้สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) โดย Thomas Phang ผู้บริหารฝ่ายการตลาดแห่งภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ของ AVEVA ชี้ให้เห็นว่าการ ปรับปรุงการผลิตให้ทันสมัยและยั่งยืนจะต้องอาศัยเทคโนโลยีสะอาดที่มีประสิทธิภาพเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานและความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นต่อสินค้าที่ยั่งยืน โดยนำเสนอแพลตฟอร์ม AVEVA CONNECT และโซลูชันต่างๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อุตสาหกรรม (Industrial AI) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการทลาย ไซโลข้อมูล ช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกัน การสื่อสาร และการแบ่งปันข้อมูลระหว่างแผนก ทีม หรือกลุ่มต่างๆ ภายในองค์กร และเสริมความแข็งแกร่งด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจและความยั่งยืน พร้อมยกตัวอย่างความสำเร็จจาก SCG Chemicals และ B.Grimm Power ในประเทศไทย และ Schneider Electric’s Smart Factory ในประเทศอินโดนีเซีย ที่ตอกย้ำว่าการลงทุนดิจิทัลตามแนวทาง BCG สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงควบคู่ไปกับผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมอย่าง
BCG Model: กรอบการทำงานแห่งอนาคต ลดปัญหาการเชื่อมต่อข้อมูล
Thomas Phang กล่าวว่า โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ของประเทศไทย ถือเป็นกรอบการทำงานที่มองไปข้างหน้าเพื่อการเติบโตอย่างครอบคลุมและยั่งยืน โมเดลนี้มุ่งเน้นไปที่ อุตสาหกรรมหลัก 4 ประเภท ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร 2.อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ 3.อุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพ ชีววัสดุ และชีวเคมี และ 4.อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 21% ของ GDP ณ ปี 2566 และมีเป้าหมายที่จะบรรลุ 24% ในอีก 5ปีข้างหน้า ด้วยการผสานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์นี้ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้อุตสาหกรรมไม่สามารถพึ่งพาระบบเครือข่าย สารสนเทศที่แยกจากกันและขาดการเชื่อมต่อได้อีกต่อไป ด้วยข้อมูลที่ขาดหายและข้อมูลเชิงลึกที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับองค์กรในการมองเห็นภาพรวมประสิทธิภาพทั้งหมดและเพิ่มประสิทธิภาพในระดับขนาดใหญ่ทั้งองค์กร AVEVA เสนอแนวทางที่จำเป็นคือการ ทลายไซโลข้อมูล ไม่เพียงแค่การเชื่อมโยงเทคโนโลยี และข้อมูลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทลายกำแพงความคิดและวัฒนธรรม เพื่อให้ทีมงานต่างๆ ชุมชน และแม้แต่คู่แข่งสามารถแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกข้ามขอบเขตขององค์กร การค้า และภูมิศาสตร์ สำหรับประเทศไทย นี่หมายถึงการสร้างระบบนิเวศที่เกษตรกร โรงงานผู้ผลิต สาธารณูปโภค และผู้ให้บริการสามารถ ทำงานร่วมกันโดยใช้ข้อมูลคุณภาพสูงร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โตอย่างมีประสิทธิภาพและเป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อม
AVEVA CONNECT: แพลตฟอร์มหลักสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลตามโมเดล BCG
Thomas เน้นว่า กรอบการทำงาน BCG สนับสนุนการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยได้โดยตรง ด้วย การส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ มุ่งเพิ่มการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และนำนวัตกรรมมาเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทยตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดย AVEVA จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่อุตสาหกรรมอาหารและการผลิต ไปจนถึงพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และทางทะเล เพื่อมอบข้อมูลเชิงอุตสาหกรรมที่ชาญฉลาดและรวดเร็วยิ่งขึ้น ผ่านการเข้าถึงข้อมูลอุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้แบบเรียลไทม์ ด้วย AVEVA CONNECT ซึ่งเป็นแฟลฟอร์ม การจัดการระบบข้อมูลเชิงอุตสาหกรรมแบบเปิด นำเสนอบริบทของข้อมูลจากทุกช่วงวงจรชีวิตของอุตสาหกรรม ตั้งแต่การออกแบบ การดำเนินงาน และการปรับปรุงประสิทธิภาพ CONNECT รวบรวมข้อมูลและผสานรวม ข้อมูลเชิงลึกที่เสริมประสิทธิภาพด้วย AI ที่ชาญฉลาด พลิกโฉมการดำเนินงานของอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยการกระชับความร่วมมือระหว่างผู้มีอำนาจตัดสินใจตลอดห่วงโซ่คุณค่า ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย ได้มากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรน้อยลงในทุกขั้นตอนของวงจรชีวิตอุตสาหกรรม สำหรับผู้ผลิตในประเทศไทย นี่หมายถึงการเห็นข้อมูลทั้งองค์กรได้ครอบคลุม การตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น และรวมไปถึงการใช้พลังงาน น้ำ และวัตถุดิบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น
ความร่วมมือกับองค์กรในประเทศไทย: ลดต้นทุนและลดการหยุดการทำงานที่ไม่อยู่ในแผน
AVEVA ได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการลงทุนดิจิทัลที่สอดคล้องกับโมเดล BCG ผ่าน ความร่วมมือกับองค์กรในประเทศไทย โดย Thomas Phang ได้ยกตัวอย่าง 2 บริษัทชั้นนำในที่ใช้แพลตฟอร์มของ AVEVA กล่าวคือ SCG Chemicals หนึ่งในบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ใช้แพลตฟอร์มความน่าเชื่อถือทางดิจิทัล (Digital Reliability Platform: DRP) ของ AVEVA เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานควบคู่ไปกับการบรรลุ เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการเงินในระยะยาว ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จาก AI ในการเรียนรู้ของเครื่อง และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ ทำให้ SCG Chemicals สามารถคาดการณ์ความผิดพลาดของอุปกรณ์ ได้ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ช่วยลดเวลาหยุดทำงานที่ไม่ได้วางแผนไว้ได้อย่างมาก อีกทั้งสนับสนุนการดำเนินงาน ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มากขึ้น วิธีการนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของโรงงานจาก 98% เป็นเกือบ 100% และยังช่วยลดต้นทุนการบำรุงรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้อย่างมาก
ด้วยผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่สูงถึง 9 เท่าภายในเวลาเพียง 6 เดือน แนวทางการบริหารจัดการ สินทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลของ SCG Chemicals ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดของเสีย และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ ส่งผลให้อุปกรณ์มีความทนทานในการใช้งานและความยั่งยืน นับเป็นตัวอย่าง ที่ชัดเจนว่าการลงทุนทางดิจิทัลที่สอดคล้องกับโมเดล BCG สามารถสร้างมูลค่าทั้งทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมได้
ขณะที่ B.Grimm Power ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานในประเทศไทยที่มุ่งเน้นการพัฒนา การจัดหาเงินทุน การก่อสร้าง และการดำเนินงานโรงไฟฟ้าใหม่ (Greenfield) ปัจจุบันได้ใช้แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในกลยุทธ์ การบำรุงรักษาด้วย AVEVA PI System และ AVEVA Predictive Analytics ด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและบำรุงรักษา (O&M) ของบริษัทฯ ยังไม่มีประสบการณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ทำให้ความสามารถ ในการตรวจสอบหรือวิเคราะห์การทำงานของเครื่องไม่เพียงพอ B.Grimm Power จึงตัดสินใจเลือกใช้โซลูชันของ AVEVA เพื่อช่วยลดระยะเวลาการหยุดทำงานของโรงงานโดยไม่กระทบต่อความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพการทำงาน
หลังจากนำเทคโนโลยีของ AVEVA มาใช้ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของความล้มเหลวและวินิจฉัย เครื่องจักรเทอร์โบเพื่อค้นหาข้อบกพร่อง ส่งผลให้ระยะเวลาการหยุดทำงานลดลง 50% และลดต้นทุน การบำรุงรักษาได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมทั้งลดความเสี่ยงของความล้มเหลวและส่งเสริมศักยภาพ ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและบำรุงรักษาที่มีอยู่ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าข้อมูลและ AI สามารถทำให้ โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศไทยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเชื่อถือได้มากขึ้น
นอกจากนั้นยังมี Schneider Electric’s Smart Factory (อินโดนีเซีย) ที่ใช้การผสานรวมแพลตฟอร์ม Discrete Lean Management, Enterprise Asset Management และ Insight ของ AVEVA ทำให้โรงงานนี้ลดเวลาการหยุดทำงานที่เกิดจาการชำรุดของเครื่องจักรลง 44% ลดการใช้พลังงานลง 21% และเพิ่มอัตราการส่งมอบผลิตภัณฑ์ได้ทันเวลาถึง 40% ซึ่งเน้นย้ำถึงการสอดประสานกันระหว่างประสิทธิภาพ และความยั่งยืน จนได้รับการยกย่องจาก the World Economic Forum ว่าเป็นประภาคารที่ส่องแสงนำไปสู่ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Forth Industrial Revolution (4IR) Lighthouse) เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยม ที่แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงดิจิทัล ช่วยผลักดันสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
การรับรองความถูกต้องและการรายงาน ESG: เปลี่ยนการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เป็นข้อได้เปรียบ
ข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและความคาดหวังของนักลงทุนเกี่ยวกับการรายงาน ESG (Environmental, Social and Governance) ที่เข้มงวดมากขึ้น ก่อให้เกิดทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับบริษัทอุตสาหกรรม AVEVA ตอบโจทย์ปัญหานี้ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลอุตสาหกรรมจำนวนมากให้เป็นข้อมูลเชิงลึกด้าน ความยั่งยืนที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที
AVEVA CONNECT เป็นศูนย์กลางของการทำรายงาน ESGนี้ โดยรวบรวมข้อมูลจากวงจรชีวิตอุตสาหกรรม ทั้งหมดของบริษัท และจัดรูปแบบให้เหมาะสมตามสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้สามารถติดตามประสิทธิภาพด้าน สิ่งแวดล้อมได้อย่างครอบคลุม ฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์นี้ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถวัดผล ตรวจสอบ และ รายงานการปล่อยมลพิษ การใช้ทรัพยากร และตัวชี้วัดความยั่งยืนที่สำคัญอื่นๆ ได้อย่างแม่นยำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่ผ่านมา AVEVA บริหารจัดการข้อมูลการดำเนินงานทั่วโลกถึง 40% ผ่านระบบ AVEVA PI ทำให้เรามี ความสามารถพิเศษในการช่วยให้บริษัทต่างๆ เปลี่ยนข้อมูลอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนให้เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพ ESG ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้
ตัวอย่างสำเร็จของ Dominion Energy ในสหรัฐอเมริกา เมื่อการรายงานความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้นเป็นเรื่องสำคัญ Dominion จึงใช้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจของตนเองในภาคพลังงานหมุนเวียน ด้วยการใช้ AVEVA CONNECT พวกเขารวบรวมและแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์จาก เครือข่ายไฟฟ้าในอเมริกาเหนือ กับลูกค้าสาธารณูปโภคผ่านระบบคลาวด์ ทำให้พวกเขาสามารถมอบหลักฐานที่ตรวจสอบได้เกี่ยวกับ การดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้แก่นักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแล และผู้ตรวจสอบบัญชี กล่าวโดยสรุปคือ พวกเขาสามารถแสดงให้เห็นได้แบบเรียลไทม์ว่าบริษัทมีผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดความยั่งยืนที่สำคัญได้อย่าง โปร่งใสและชัดเจน
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ความโปร่งใสนี้กำลังต่อยอด Dominion ไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ เนื่องจากความต้องการรายงานความยั่งยืน ที่วัดผลได้เพิ่มขึ้น เพราะรากฐานของกลยุทธ์ ESG ที่ประสบความสำเร็จคือข้อมูลที่มีคุณภาพสูงและเชื่อมโยงกัน ที่ผ่านมาวิศวกรเกือบ 40% เสียเวลาไปกับการค้นหาข้อมูล ระบบของ AVEVA ช่วยขจัดปัญหา ดังกล่าว ด้วยการเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับข้อมูลเชิงลึกที่พวกเขาต้องการในเวลาที่ต้องการ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการติดตาม ESG ที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้มากกว่าแค่การปฏิบัติตามกฎระเบียบ เพียงอย่างเดียว
สำหรับบริษัทในประเทศไทยและทั่วภูมิภาค โซลูชันของ AVEVA ช่วยเปลี่ยนการรายงานความยั่งยืนที่เคย เป็นภาระผูกพันให้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเชิงกลยุทธ์ ด้วยการมอบข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำเกี่ยวกับผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมแบบเรียลไทม์ในทุกการดำเนินงาน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้บริษัทต่างๆ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้าน กฎระเบียบเท่านั้น แต่ยังมองเห็นโอกาสในการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะช่วยลดทั้งต้นทุนและ การปล่อยมลพิษ เมื่อหลักการ BCG และความคาดหวังเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกพัฒนาขึ้น ข้อมูลที่เชื่อถือได้และเชื่อมต่อกันเช่นนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจไทยในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่นกัน
บทบาทของ Industrial AI: ขับเคลื่อนประสิทธิภาพและความปลอดภัยด้วย Agentic AI
AVEVA เป็นบริษัทที่มุ่งเน้นการให้บริการด้านเทคโนโลยีและบริการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล โดยเฉพาะในภาค อุตสาหกรรมที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในภาคอุตสาหกรรม มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้าน AI อุตสาหกรรมมากกว่า 20 ปี ตั้งแต่ AI เชิงเส้นและการเรียนรู้ของเครื่อง ไปจนถึงโมเดลที่ซับซ้อนใหม่ๆ ที่ใช้ประโยชน์จาก Generative AI และโมเดลภาษาขนาดใหญ่
โซลูชัน AI ของ AVEVA ถูกนำไปใช้ในอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก 10 แห่ง บริษัทเภสัชกรรมชั้นนำ 25 แห่ง และโรงงานกว่า 16,000 แห่งทั่วโลก Industrial AI Assistant บน CONNECT เป็นโซลูชัน Generative AI เชิงสร้างสรรค์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ถามคำถามด้วยภาษาธรรมชาติเพื่อค้นหา ทำความเข้าใจ และแสดงภาพข้อมูล อุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็ว โซลูชันนี้ให้คำตอบที่เข้าใจบริบท พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา โดยไม่ต้องใช้โมเดล ที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้าหรือแดชบอร์ดแบบแมนนวล
AVEVA ยังมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการและประสานงานชุดของเอเจนต์อัจฉริยะหลายตัวให้ ทำงานร่วมกันอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ โดยสามารถปรับขนาดได้ตามความต้องการของงอุตสาหกรรม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดผ่านการประยุกต์ใช้ Agentic AI ด้วยการประสานเอเจนต์อัจฉริยะหลายตัวในระบบที่ซับซ้อน AVEVA กำลังยกระดับความสามารถอีกขั้นให้แก่ระบบอัตโนมัติ ทั้งความสามารถในการปรับตัว และการสนับสนุน การตัดสินใจ แนวทางนี้ก้าวข้ามโมเดลแบบแยกส่วน และนำเทคนิคของ AI เชิงคาดการณ์ เชิงสร้างสรรค์ และเชิงผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงเทคนิค AI อื่นๆ มารวมกัน เพื่อแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเร็ว ขนาด และสภาพแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น เอเจนต์ AI ที่แตกต่างกันสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้พลังงาน กำหนดแผนการบำรุงรักษา และดูแลสถานการณ์ความปลอดภัยในโรงงานที่ซับซ้อนได้ในเวลาเดียวกัน
การดำเนินงานในประเทศไทยและพันธมิตรทางยุทธศาสตร์
Thomas Phang กล่าวปิดท้ายอย่างมั่นใจว่า เนื่องจาก AVEVA มีสำนักงานประจำประเทศไทยตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ จึงทำให้สามารถทำงานร่วมกันกับลูกค้าชาวไทยได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น กับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อบูรณาการแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมแบบเปิดของ AVEVA ให้สามารถเชื่อมเข้ากับระบบที่มีใช้อยู่เดิมในประเทศไทย รวมทั้งมีความร่วมมือกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ทำการจัดกิจกรรมและการฝึกอบรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอที่มุ่งเน้นด้านวิศวกรรม การดำเนินงาน และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลทั่วทั้งองค์กร นอกจากนี้ยังร่วมพัฒนาโซลูชันดิจิทัลกับพันธมิตรเพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์ ด้านความยั่งยืนและผลผลิตที่วัดผลได้
AVEVA ยังร่วมมือกับ Enlighten Technology เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมของ ประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือนี้ ธุรกิจต่างๆ จะได้รับการสนับสนุนในการปรับปรุงการดำเนินงานให้ทันสมัยด้วย การย้ายระบบเดิม (Legacy System) แล้วมาใช้โซลูชัน HMI, SCADA และ MES ขั้นสูงของ AVEVA แทน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นข้อมูล การควบคุม และการวิเคราะห์ข้อมูล Enlighten ได้อย่างครอบคลุม ทั้งนี้ AVEVA กำลังร่วมกับภาคอุตสาหกรรมในการสร้างความพร้อมทางดิจิทัลและความเป็นเลิศ ในการดำเนินงานในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (CPG) ของประเทศไทย เนื่องจากผู้ผลิต CPG กำลังปรับตัวให้สอดคล้องกับโมเดลBCG ที่มุ่งขับเคลื่อนประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และการผลิตที่ยั่งยืนเข้าด้วยกัน








