ข่าวเศรษฐกิจ

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ ม.หอการค้า ชี้ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ย. 68 ดีขึ้นระดับ 53.2 ติดตามผลกระทบ “สัญญาณยุบสภา”

แชร์ข่าว

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค พฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ระดับ 53.2 ดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังเจอปัญหาน้ำท่วมทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ลดลงครั้งแรก อยู่ที่ระดับ 44.0 ชี้ สัญญาณการยุบสภายังไม่ชัดเจน ยุบช้า-เร็ว มีผลกระทบต่างกัน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ปรับลดลงครั้งแรก ซึ่งอยู่ระดับ 44.0 ซึ่งเป็นผลจากปัญหาน้ำท่วมใต้ และยังมองว่าหากไม่มีปัญหาดังกล่าวความเชื่อมั่นหอการค้าน่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และยังพบว่าปัญหาความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในแต่ละภูมิภาคก็ไม่เหมือนกัน แต่ก็มีผลกระทบไปยังภาคอื่นด้วย เช่น ภาคกลางให้รับรู้ นอกจากนี้ก็ยังมาจากปัญหาสงครามการค้า ปัญหาชายแดนที่กระทบ ขณะที่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น อยู่ระดับ 53.2 เป็นเดือนที่ 2 และดีขึ้นทุกรายการ

“สัญญาณความเชื่อมั่นและปัจจัยที่กระทบนั้นมีทั้งบวกและลบที่ต้องติดตาม แม้การส่งออกจะขยายตัวดี แต่ก็ต้องติดตามในปีหน้า เนื่องจากหลายประเทศเริ่มเห็นชัดถึงปัญหาการส่งออกจากภาษีสหรัฐ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ ขณะที่ คนละครึ่งพลัส ซึ่งใช้งบประมาณกระตุ้นประมาณ 66,000 ล้านบาท เม็ดเงินเข้าระบบ 40,000 ล้านบาท แต่ปัญหาน้ำท่วมมาฉุดทำให้เม็ดเงินหายไป 20,000 ล้านบาท จึงมีผลต่อโครงการทำงานไม่เต็มที่มากนัก”

อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น ความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ การเยียวยาผลกระทบจากน้ำท่วมจึงมีความจำเป็น ส่วนกระแสเรื่องของการยุบสภาจะภายในเดือนธันวาคม 2568 หรือกรอบเวลาเดิม เดือนมกราคม 2569 ล้วนมีแต่ต่อภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องของการเดินหน้าเจรจาภาษีสหรัฐ การใช้งบประมาณ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เพราะหากยังเป็นกรอบเดิมยังทำให้มีรัฐบาลอำนาจเต็มที่จะเดินหน้าแผนต่าง ๆ ได้ชัดขึ้น แต่อาจจะมีผลบ้างในเรื่องของการได้รัฐบาลชุดใหม่ งบประมาณอาจจะล่าช้าไป 3 เดือน แต่หากยุบเร็ว อาจจะมีเม็ดเงินในเรื่องของการเลือกตั้งเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ แต่มาตรการต่าง ๆ การเยียวยาหากยังไม่ชัดเจนก็กระทบได้ ดังนั้น การคาดการณ์อาจจะยากเพราะหลายอย่างยังไม่มีความชัดเจนที่จะประเมินได้ในตอนนี้

นายวิทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index : CCI) เดือนพฤศจิกายน 2568 กลุ่มตัวอย่าง 2,241 คน พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 53.2 เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในรอบ 10 เดือน

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ระดับ 46.8 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม อยู่ที่ระดับ 50.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ระดับ 61.9 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 10 เดือน แต่ทั้งนี้ดัชนีทุกรายการยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจนแม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัญหาน้ำท่วมกระทบต่อเศรษฐกิจ สงครามการค้า ปัญหาชายแดนที่ยังกระทบ

ขณะที่ ปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่น เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งออกไทยที่โตขึ้น ราคาน้ำมันปรับลดลง ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ส่วนปัจจัยลบ เช่น ผู้บริโภคยังมองว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพไม่สอดคล้องกับรายได้ ปัญหาน้ำท่วม ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงซึ่งมีผลต่อรายได้ แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงความขัดแย้งสงครามการค้า ปัญหาชายแดน เป็นต้น

นายวชิร คูณทวีเทพ รองอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2568 โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 24-30 พฤศจิกายน 2568 พบว่า ความเชื่อมั่นหอการค้าไทยโดยภาพรวมอยู่ที่ระดับ 44.0 ซึ่งเป็นการปรับลดลงครั้งแรก เป็นผลมาจากปัจจัยน้ำท่วมใต้ และภาคอื่น ๆ ซึ่งกระทบต่อภาคการเกษตรและภาคบริการ อีกทั้ง การขนส่งก็ไม่สะดวก ปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงเฝ้าระวังการเกิดเหตุรุนแรงจากฝั่งตรงข้าม บริเวณตามแนวเขตชายแดน ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวและการเตรียมตัวอพยพของประชาชน รวมถึงการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ที่ต้องหยุดชะงักบริเวณพื้นที่ชายแดน เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจที่อาจจะไม่เติบโต ซึ่งรวมไปถึงปัญหาสงครามการค้า

ขณะที่ ปัจจัยบวกที่กระทบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ช่วยลดภาระค่าครองชีพ และกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่ายมากขึ้นทันที มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ การส่งออกของไทยที่ยังขยายตัว ราคาน้ำมันลดลงและค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น

อย่างไรก็ดี หอการค้าต้องการให้รัฐบาล เร่งดำเนินการแก้ไข คือ เร่งออกมาตรการเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ มาตรการเร่งด่วนที่ให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟูจากน้ำท่วม แนวทางป้องกันรับมือน้ำท่วม แก้ปัญหาชายแดน การสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุน การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้แข่งขันได้

ข่าวแนะนำ