รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์
ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต
การผลิตงานวิจัยเป็นพันธกิจสำคัญของมหาวิทยาลัย และในยุคที่โลกเผชิญความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมสูงวัย สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ งานวิจัยยิ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวทันโลก ผู้บริหารไม่ควรจำกัดบทบาทเพียงการบริหารจัดการเชิงระบบ แต่ต้องเข้าใจและใช้ประโยชน์จากงานวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การตัดสินใจอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-based Management) และเพื่อเป็นแบบอย่างทางวิชาการให้กับคณาจารย์และนักวิจัยในองค์กร
ผู้บริหารที่ทำวิจัยได้ ย่อมเข้าใจทั้งกระบวนการทางวิชาการและธรรมชาติของปัญหาภายในองค์กร งานวิจัยในลักษณะนี้จะเป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหาร (Research for Management Development) เช่น การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อปรับปรุงระบบการเรียนการสอน การจัดการบุคลากร หรือการบริหารข้อมูลสารสนเทศภายในมหาวิทยาลัยให้มีประสิทธิผล
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา (Centre for the Study of Higher Education – CSHE) ของมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ที่ส่งเสริมให้ผู้บริหารเรียนรู้การใช้หลักฐานเชิงวิจัยเพื่อพัฒนานโยบาย โดยออกแบบ “Project-based Research” ศึกษาปัญหาในหน่วยงานตนเอง ผลลัพธ์คือผู้บริหารเข้าใจการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจและสามารถสร้างเครือข่ายวิชาการได้อย่างเข้มแข็ง
หากการทำวิจัยคือ การสร้างองค์ความรู้ใหม่ การใช้งานวิจัยคือ การเปลี่ยนองค์ความรู้นั้นให้กลายเป็นนโยบายและการปฏิบัติจริง ผู้บริหารที่ใช้ผลวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพจะแสดงถึงทักษะการตีความและความฉลาดเชิงบริบท ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้นำยุคใหม่ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) สหรัฐอเมริกา ที่นำข้อมูลจากงานวิจัยทางจิตวิทยาการศึกษาและเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาหลักสูตรและระบบการเรียนรู้รายบุคคล (Personalized Learning) ภายใต้โครงการ Learning Analytics Initiative แม้ผู้บริหารไม่ใช่นักวิจัยโดยตรง แต่สามารถใช้ข้อมูลวิจัยในการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธภาพ ทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็นผู้นำด้านการเรียนรู้
ขณะที่ในอีกหลาย ๆ มหาวิทยาลัย งานวิจัยจำนวนมากยังคงเป็นเพียงเอกสารประกอบการประเมิน ไม่ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้จริง ปัญหานี้สะท้อนถึงช่องว่างระหว่าง “งานวิจัยที่มี” กับ “งานวิจัยที่ใช้” ผู้บริหารต้องกลายเป็นผู้ที่บทบาทสำคัญในการเชื่อมช่องว่างนี้ ด้วยการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven Culture) และการนำผลวิจัยมาพัฒนาเชิงนโยบาย
ผู้บริหารที่ทำวิจัยได้และใช้วิจัยเป็น คือผู้นำที่เข้าใจทั้งการสร้างองค์ความรู้และการประยุกต์ใช้ผลวิจัย สามารถพัฒนานวัตกรรมการบริหารที่ตอบโจทย์จริง เช่น การใช้ข้อมูลเชิงสังคมมาปรับหลักสูตรหรือประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษา ในทางตรงกันข้าม ผู้บริหารที่ทำวิจัยแต่ไม่รู้จักใช้ ผลงานวิจัยอาจเป็นเพียงเอกสารเพื่อเลื่อนตำแหน่ง ไม่ได้ก่อประโยชน์ต่อองค์กร
ส่วนผู้บริหารที่แม้ไม่ทำวิจัยเองแต่รู้จักใช้ข้อมูลวิจัยจากผู้อื่น ก็ยังถือว่ามี “ปัญญาเชิงข้อมูล” ซึ่งดีกว่าการบริหารที่อิงเพียงสัญชาตญาณหรือความเชื่อส่วนตัว
ผู้บริหารที่ทำวิจัยเป็นย่อมมีความน่าเชื่อถือทางวิชาการ (Academic Credibility) และเป็นแบบอย่างของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การมีผลงานวิจัยช่วยเสริมบทบาทความเป็นผู้นำทางความคิด และเป็นรากฐานในการสร้างนวัตกรรม เช่น การใช้ผลวิจัยออกแบบระบบบริหารข้อมูล การพัฒนาการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือพันธกิจเพื่อสังคมในมิติใหม่ ๆ
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยควรมีระบบสนับสนุนให้ผู้บริหารเข้าถึงข้อมูลวิจัยได้ง่ายและต่อเนื่อง เช่น การสร้างฐานข้อมูลกลาง การอบรมทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงนโยบาย และการตั้ง “คลินิกวิจัยสำหรับผู้บริหาร” เพื่อให้การตัดสินใจสำคัญขององค์กรตั้งอยู่บนฐานของข้อมูลจริง ไม่ใช่เพียงประสบการณ์ส่วนตัว การสร้างสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะทำให้ผู้บริหารทุกระดับเกิดความเข้าใจในกระบวนการวิจัยและเห็นคุณค่าขององค์ความรู้ที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยเอง
ในอนาคต ผู้บริหารการศึกษาไทยควรได้รับการพัฒนาให้มีทักษะด้าน “Research Literacy” หรือความรอบรู้ด้านการวิจัย เพื่อให้สามารถอ่าน วิเคราะห์ และแปลผลข้อมูลได้อย่างถูกต้อง เพราะการมีผู้นำ/ผู้บริหารที่รู้เท่าทันข้อมูลและใช้หลักฐานทางวิชาการเป็นฐานในการตัดสินใจ จะช่วยยกระดับคุณภาพการบริหารสถาบันอุดมศึกษาให้เทียบเท่าระดับสากล
งานวิจัยเปรียบเสมือน “ภาษากลางของผู้นำมหาวิทยาลัยยุคใหม่” ผู้บริหารที่ทำได้และใช้เป็น จะเข้าใจทั้งศาสตร์และศิลป์ของการบริหาร มองเห็นปัญหาเชิงระบบ เข้าใจสาเหตุ และสามารถออกแบบแนวทางพัฒนาอย่างมีหลักฐานรองรับ หากยังบริหารด้วยสัญชาตญาณ ก็ไม่ต่างจากการขับเรือในหมอก แต่หากขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและงานวิจัย จะกลายเป็นผู้นำที่ “สร้างความรู้เพื่อขับเคลื่อนองค์กร” และช่วยยกระดับการศึกษาไทยให้ยั่งยืนบนฐานของปัญญาและการเรียนรู้
การพัฒนาผู้บริหารให้มีศักยภาพด้านการวิจัยส่งผลต่อประสิทธิภาพเชิงนโยบาย และการสร้างทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) ให้กับมหาวิทยาลัยระยะยาว เพราะผู้บริหารที่มีทักษะการวิเคราะห์และวิพากษ์ข้อมูลเชิงลึก
จะสามารถระบุปัญหาเชิงระบบ วางยุทธศาสตร์ได้ตรงจุด และสร้างแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งการบูรณาการงานวิจัยเข้ากับการบริหารจะช่วยขับเคลื่อนการเรียนรู้ขององค์กร บุคลากรทุกระดับมีส่วนร่วมการสร้างองค์ความรู้ และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มหาวิทยาลัยช่วยขับเคลื่อนสังคมบนฐานของข้อมูลและวิจัยได้จริงครับ








