วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 บริเวณใต้สะพานพระพุทธยอดฟ้า (สะพานพุทธฯ) ฝั่งพระนคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แถลงข่าวถึงความพร้อมของกรุงเทพมหานครในการรับมือกับสถานการณ์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบรรจบกันของน้ำสามส่วน ได้แก่ น้ำฝน น้ำหนุน (น้ำทะเลหนุน) และน้ำเหนือ
นายวิศณุได้เริ่มอธิบายสถานการณ์โดยรวม โดยระบุว่าขณะนี้ถือเป็นช่วงปลายฝนแล้ว และคาดว่าปริมาณน้ำฝนจะไม่น่ากังวล ส่วนประเด็นที่สำคัญและถูกจับตาคือ น้ำหนุนและน้ำเหนือ สำหรับน้ำหนุนนั้น จุดที่สูงที่สุดของเดือนพฤศจิกายนได้ผ่านพ้นไปแล้วตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา (วันเสาร์) ซึ่งเป็นวันที่น้ำทะเลหนุนสูงจนส่งผลกระทบและทำให้น้ำเข้าท่วมในบริเวณที่แถลงข่าวอยู่ (ปากคลองตลาด) สถานการณ์น้ำหนุนในช่วงเดือนนี้จะไม่เลวร้ายเท่ากับวันที่ 8 อีกแล้ว อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าระดับน้ำจะกลับมาขึ้นสูงอีกครั้งในวันที่ 20 พฤศจิกายน แต่จะไม่มากนัก และจะกลับมาหนุนสูงอีกครั้งในช่วงวันที่ 7, 8, และ 9 ธันวาคม
ในส่วนของน้ำเหนือ กรุงเทพมหานครมีการติดตามอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา โดยอ้างอิงจากการปล่อยน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา ขณะนี้กรมชลประทานได้เพิ่มการระบายน้ำ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) โดยคาดว่าจะพยายามรักษาระดับนี้ไว้หากไม่มีพายุเข้าเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตัวเลขการระบายน้ำนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และกรมชลประทาน
เมื่อน้ำจากทางเหนือไหลเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ จุดเฝ้าระวังที่สามโคก ปริมาณน้ำที่ผ่านเข้ามาอยู่ที่ประมาณ 2,400 ลบ.ม./วินาที ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤตมาก เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่มีปริมาณน้ำเกิน 3,600 ลบ.ม./วินาที จนทำให้เกิดน้ำล้นและปัญหาในพื้นที่
สำหรับระดับน้ำจริงที่วัดได้ในวันที่มีการแถลงข่าวอยู่ที่ 2.12 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับสูงสุดของวันที่ 8 พฤศจิกายนที่รวมกันอยู่ที่ประมาณ 2.25 เมตร ในขณะที่ระดับความสูงของแนวเขื่อนที่ปากคลองตลาดนั้นอยู่ที่ 3 เมตร โดยทั่วไปแล้ว แนวเขื่อนป้องกันน้ำท่วมของ กทม. มีระดับความสูงแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 3.50 เมตรทางตอนเหนือ (บางเขนใหม่) ลดหลั่นลงมาถึง 2.80 เมตรที่ต่ำสุดในบางนา ซึ่งระดับน้ำจริงยังคงมีระยะห่างจากแนวเขื่อน (Safety margin) ประมาณ 80-90 เซนติเมตร นายวิศณุยืนยันว่าสถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วงมาก แต่ต้องเฝ้าระวังต่อไป
นายวิศณุกล่าวว่า กรุงเทพมหานครได้มีการเตรียมการเพื่อรับมือกับน้ำที่อาจเข้ามาในพื้นที่ ผ่านจุดอ่อนหลัก 3 ลักษณะ คือ 1. แนวฟันหลอ (แนวเขื่อนที่ไม่ต่อเนื่อง) เดิมมีอยู่ 32 จุด คิดเป็นระยะทางกว่า 4.8 กิโลเมตร ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กทม. ได้ดำเนินการแก้ไขไปแล้ว 22 จุด คงเหลือเพียง 10 จุด หรือประมาณ 2.6 กิโลเมตร จุดที่เหลือส่วนใหญ่มักเป็นพื้นที่เอกชนหรือมีการบุกรุก ทำให้การเข้าไปดำเนินการทำแนวกั้นน้ำถาวรต้องมีการเจรจา 2. จุดที่น้ำรั่วซึม จากข้อมูลปี 2565 ที่มีจุดรั่วซึม 120 จุด ขณะนี้มีการแก้ไขไปแล้วเกือบหมด เหลือ 76 จุด และเหลือระยะทางที่ยังมีการรั่วซึมเพียง 8 กิโลเมตร 3. ช่องเปิด (Openings) เช่น ท่าเรือและทางขึ้นลงท่าเรือต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องเปิดไว้สำหรับการสัญจร
สำหรับแนวทางรับมือในส่วนของจุดรั่วซึมและช่องเปิดนั้น จะมีการเตรียมกระสอบทรายไว้เพื่อปิดล้อมน้ำ และหากน้ำซึมหรือล้นเข้ามา ก็จะใช้เครื่องสูบน้ำเพื่อสูบน้ำกลับเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากระดับน้ำที่เข้ามายังต่ำกว่าระดับเขื่อนของ กทม. นายวิศณุกล่าวว่า ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบความแข็งแรงของแนวกระสอบทรายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการแตกหรือล้ม เมื่อน้ำสูงขึ้นหรือมีคลื่นซัดเข้ามา โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์กระสอบทรายที่วัดระฆังล้มลง ทำให้น้ำทะลักเข้าพื้นที่
ส่วนพื้นที่หลักที่ได้รับผลกระทบคือ ชุมชนที่อยู่นอกคันกั้นน้ำ ซึ่งมีอยู่ 11 ชุมชน รวม 320 หลังคาเรือน (เช่น ชุมชนโรงสี, ชุมชนหน้าวัง) บ้านเรือนเหล่านี้ได้รับผลกระทบตามระดับน้ำขึ้น-น้ำลง ทาง กทม. ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยการสร้างสะพานไม้ชั่วคราวให้ ทั้งนี้ การดำเนินการสร้างเขื่อนถาวรให้กับชุมชนเหล่านี้ทำได้ยากในบางกรณี เนื่องจากปัญหาเรื่องที่ดินและการไม่ยินยอมของเจ้าของบ้านบางราย
ด้านนายชัชชาติกล่าวว่า โดยสรุปสถานการณ์น้ำในกรุงเทพมหานครไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากน้ำหนุนจากทะเลเริ่มลดลงแล้ว และระดับน้ำจะค่อย ๆ คลี่คลายลง เมื่อเทียบกับวิกฤตปี 2554 แล้ว โครงสร้างพื้นฐานของ กทม. ในปัจจุบันดีขึ้นมาก ไม่เพียงแต่ระดับเขื่อนของ กทม. ที่สูงกว่าปี 2554 ถึง 50 เซนติเมตร แต่ปัญหาหลักในครั้งนั้นคือการพังทลายของประตูระบายน้ำเหนือกรุงเทพฯ (ประตูบางโฉมศรีและประตูคลองประปา) ซึ่งปัจจุบันประตูเหล่านี้ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้ว
อีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญคือ คลื่นที่เกิดจากเรือที่แล่นด้วยความเร็ว โดยเฉพาะเรือหางยาว คลื่นเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวกระสอบทราย ทำให้กระสอบทรายแตกหรือล้มได้ กทม.ได้ประสานงานกับกรมเจ้าท่าเพื่อส่งเรือมาประจำการในจุดเสี่ยง เพื่อป้องปรามผู้ที่ขับเรือเร็วและลดการเกิดคลื่น
นายชัชชาติได้กล่าวให้กำลังใจพี่น้องประชาชนในต่างจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียง เนื่องจากพื้นที่เหล่านั้นหลายแห่งไม่มีคันกั้นน้ำ ทำให้ต้องรับน้ำที่ระบายมาจากเขื่อนเจ้าพระยาไปบางส่วน ซึ่งเป็นการช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่กรุงเทพฯ ไปในตัว สำหรับภาพรวม กทม. มีความพร้อมในการรับมือในระดับสูง และเชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง หากไม่มีพายุขนาดใหญ่เข้ามาใหม่








