สทนช. ชี้แจงการวางแผนการระบายน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ในสถานการณ์พายุ 7 ลูก ปี 68 ต้องบูรณาการหน่วยงานและพื้นที่อย่างรอบคอบและสมดุลเพื่อให้ผ่านสถานการณ์ไปได้
นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะโฆษก สทนช. เปิดเผยว่า การบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน หน่วยงานภาครัฐจำเป็นต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการป้องกันอุทกภัย และการกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนเพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง จึงจำเป็นต้องมีการคาดการณ์สถานการณ์และปรับแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูฝนจนตลอดฤดู สำหรับฤดูฝนปี 2568 กรมอุตุนิยมวิทยา และ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า ปีนี้จะมีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ย โดยฝนจะตกเพิ่มมากขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะมีพายุหมุนเขตร้อนพัดเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเดือนสิงหาคม - ตุลาคม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้ในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประเมินว่า เขื่อนขนาดใหญ่จำนวน 15 แห่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำล้นความจุเขื่อน โดยบางแห่งมีแนวโน้มเกิดน้ำล้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อน เพื่อป้องกันสถานการณ์อุทกภัยให้ได้มากที่สุด โดยในช่วงต้นปีได้กำหนดเป้าหมายให้เขื่อนมีปริมาณน้ำประมาณ 80% ของความจุเก็บกัก ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูฝน เป็นแนวทางให้สามารถทยอยเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อน เพื่อเตรียมพื้นที่ว่างสำหรับรองรับน้ำช่วงฝนตกหนัก ช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน ขณะเดียวกัน ยังคงมีการติดตามวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมและปลอดภัยในการลดหรือหยุดการระบายน้ำของเขื่อนและกักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้งได้อย่างเพียงพอ สำหรับเขื่อนขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ถือเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการน้ำตามแนวทางดังกล่าว โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ได้มีการเร่งพร่องน้ำจากเขื่อนทั้ง 2 แห่ง ตามแผนการระบายน้ำเป็นรายเดือน ที่ต้องสอดรับกับปริมาณฝนและปริมาณน้ำในลำน้ำในแต่ละช่วงเวลา โดยเขื่อนภูมิพล มีการระบายน้ำไปแล้ว รวม 5,369 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ขณะที่เขื่อนสิริกิติ์ ระบายน้ำไปแล้วถึง 7,608 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งสองเขื่อนมีพื้นที่ว่างรองรับน้ำฝนจากพายุแต่ละลูกและช่วยหน่วงน้ำที่จะไหลไปเพิ่มในลำน้ำต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก ตลอดช่วงฤดูฝนนี้ แม้จะเป็นปีที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุถึง 7 ลูกก็ตาม
ในส่วนของสถานการณ์พายุ “คัลแมกี” ที่เคลื่อนตัวเข้าประเทศไทยในขณะนี้นั้น สทนช. ได้ร่วมกับทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อวางแผนบริหารจัดการน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ให้สอดคล้องกัน โดยปรับเพิ่มการระบายน้ำที่เขื่อน
ภูมิพลแบบเป็นขั้นบันได จากเดิม 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็นสูงสุดไม่เกิน 60 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน กรณีมีฝนตกหนักมาก แต่เบื้องต้นจะคงการระบายน้ำอยู่ที่อัตรา 40 - 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ซึ่งผ่านการประเมินผลกระทบแล้วอย่างรอบคอบ และขอยืนยันว่ามวลน้ำที่ระบายจากเขื่อนภูมิพลจะไม่ทำให้ระดับน้ำสูงสุดในเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำจากเขื่อนภูมิพลใช้เวลาประมาณ 8 วันจึงจะไหลถึงเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งระหว่างนั้น น้ำที่อยู่เหนือเขื่อนเจ้าพระยาในปัจจุบันจะค่อย ๆ ไหลลงสู่อ่าวไทยไปก่อนแล้ว สำหรับเขื่อนสิริกิติ์นั้น ขณะนี้ยังมีพื้นที่กักเก็บน้ำเพียงพอที่จะรองรับปริมาณน้ำหลากจากพื้นที่ด้านเหนือเขื่อนได้ จึงยังคงการระบายน้ำไว้ในอัตราปัจจุบัน คือ 9.91 ล้าน ลบ.ม ต่อวัน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำ และลดระดับน้ำในลำน้ำให้สามารถระบายน้ำออกจากทุ่งบางระกำลงสู่แม่น้ำน่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหน่วยงานจะมีการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา และบูรณาการการบริหารจัดการน้ำร่วมกันในภาพรวมทุกลุ่มน้ำ เพื่อให้ภาพรวมของทุกพื้นที่ทั่วประเทศผ่านพ้นสถานการณ์นี้ กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว








