วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามการอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มาตรา 13 ครั้งที่ 8/2568 ร่วมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือการดำเนินงานตามนโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่กำหนดให้การปราบปรามภัยออนไลน์ เป็น “วาระแห่งชาติ”
นายไชยชนก เปิดเผยว่า การปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด จำเป็นต้องมีการรวมพลังของหน่วยงานรัฐ-เอกชน รวมทั้งนานาประเทศ โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศไทยในการจัดการ ด้วยเครื่องมือการจัดการปัญหาทั้งภายในประเทศ และสหประชาชาติ ตาม “อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์” ที่ปัจจุบันมีประเทศทั่วโลกร่วมลงนามแล้ว 71 ประเทศ และสหภาพยุโรป โดยที่ประชุมได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อขับเคลื่อนการทำงานที่สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าว
สำหรับการประชุมในวันนี้ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) และผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม (TikTok Line Google) เข้าร่วม ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ กสทช.ดำเนินการตามมาตรการจำกัดปริมาณซิมการ์ด ไม่เกิน 5 หมายเลขต่อบุคคล (รวมทุกค่าย) ที่จะมีการพิจารณาในที่ประชุม คณะกรรมการ กสทช.เพื่อกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ต่อไป รวมทั้งการยกระดับหลักเกณฑ์การยืนยันตัวตนการลงทะเบียนใช้งานซิมของตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งจะต้องมีการลงทะเบียนในระบบ Dip chip หรือการลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มที่มีมาตรฐานความปลอดภัยเทียบเท่า
ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาการลงทะเบียนผู้ใช้งานซิมการ์ดใหม่ ที่ต้องใช้เสาสัญญาณในพื้นที่แนวชายแดน และพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถตรวจสอบการใช้งานได้ ป้องกันการใช้งาน SIM Box ของสแกมเมอร์ และหารือมาตรการ “ซิมยังชีพ” ซึ่งเป็นแนวคิดการจำกัดการใช้งานซิมการ์ดของบุคคลที่ขึ้นทะเบียนบัญชีม้าดำ โดยเบื้องต้นมีข้อเสนอให้ลงทะเบียนใช้งานซิมการ์ด ร่วมกับ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เท่านั้น
ด้านการร่วมหารือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม เบื้องต้นได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยได้มีการพิจารณาในเรื่องของการลงทะเบียนใช้งานแพลตฟอร์มที่ต้องมีความเข้มงวด และปลอดภัยขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะการยืนยันตัวตน ซึ่งจะต้องมีการปรับให้มีการยืนยันตัวตนด้วยชื่อ-นามสกุล หรือการสแกนใบหน้า ร่วมด้วยนอกเหนือจากการใช้เบอร์โทรศัพท์หรืออีเมล์ ซึ่งจะสามารถทำให้ตรวจสอบการใช้งานของสแกมเมอร์ที่ใช้ช่องทางแพลตฟอร์มก่อเหตุ รวมทั้งการยืนยันตัวตนของบุคคล และนิติบุคคล ในการซื้อโฆษณาผ่านแพลตฟอร์ม
ขณะเดียวกัน ETDA ได้เร่งดำเนินการปรับปรุง พ.ร.บ. ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ มาตรา 32 เรื่องการควบคุมดูแลแพลตฟอร์มตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการพิจารณาการเร่งดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า รวมถึงการพิจารณาหลักเกณฑ์การคืนเงินเยียวยาความเสียหายให้กับประชาชน
“การป้องกันและปราบปรามสแกมเมอร์ จำเป็นต้องรวมพลังของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน วันนี้หน่วยงานหลักอย่าง กสทช. และธนาคาร ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะยุติการเกิด ซิมผี - บัญชีม้าใหม่ๆ และการก่อเหตุของสแกมเมอร์ที่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดมาตรการหรือหลักเกณฑ์ที่เข้มข้นในการปราบปรามสแกมเมอร์ที่เป็นภัยคุกคามประชาชน ภายใต้การคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน” นายไชยชนก กล่าว







