เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 27 ต.ค. 68 (กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เปิดเผยถึงการลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ ว่า MOU แรร์เอิร์ธ หมายถึงแร่ธาตุที่หายาก ซึ่งยังเป็นคำศัพท์ที่กว้างอยู่ ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีความน่าวิตกกังวลอย่างที่หลายคนคิด เพราะเป็นการลงนามที่ว่าทุกวันนี้แร่ธาตุต่าง ๆ มากมายที่สามารถนำไปผลิตเป็นสินค้าลดต้นทุน และทำให้เกิดประสิทธิภาพ ลดคุณภาพของสินค้าได้ ตอนนี้เราอาจจะยังไม่ได้ลงไปดูอย่างเต็มที่ แต่มีแร่หายากอะไรขึ้นมาแล้วสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกในอนาคต ซึ่งสหรัฐอเมริกาอยากขอมีส่วนร่วมในการเข้ามาพัฒนา ซึ่งประเทศไทยเราต้องยินดี เพราะของที่เรามีอยู่แล้ว เรายังไม่ได้พัฒนา แต่องค์ความรู้ของเราไม่เพียงพอ จึงต้องแสวงหาเทคโนโลยีเข้ามา อย่างไรก็ตามเรามีการระบุไว้อย่างชัดเจนใน MOU ว่า ทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้ความเป็นธรรม หลักธรรมาภิบาล และภายใต้กฎระเบียบ กฎหมายของไทย ไม่ผิดต่อหลักรัฐธรรมนูญ ซึ่งเงื่อนไขเช่นนี้เป็นเงื่อนไขทั่วไปที่เรายอมรับได้
เมื่อถามว่าหลายคนมีความกังวลต่อการลงนามในครั้งนี้ นายกฯ ย้อนถามว่าอ่านหรือยัง ต้องถามว่าอ่านหรือยัง ก่อนนายกฯกล่าวต่อว่า อย่าไปฟังแต่หัวข้อแล้ววิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ต้องดูในรายละเอียด หากจะถามรัฐบาลในรายละเอียด ผู้ที่ถามก็ต้องทราบในรายละเอียดด้วย เนื้อหาใน MOU มีวัตถุประสงค์หลักคือการแสวงหาความร่วมมือด้วยกัน เมื่อมีความร่วมมือแล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศไทย และไม่มีการจำกัดให้ทั้ง 2 ฝ่าย เปิดโอกาสไปหาความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงไม่มีผลผูกพันธ์ทางกฎหมาย เมื่อถึงเวลาอันควรดูแล้วไม่มีประโยชน์ที่จะเดินหน้ากันต่อไป คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็สามารถยกเลิกข้อสัญญานี้ได้เลย โดยไม่ต้องรับการยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง นี่คือ MOU จริง ๆ เพราะว่าชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นบันทึกความเข้าใจ เข้าใจกันอย่างนี้ แต่ไม่ได้ผูกพันธ์อะไร และหากวันหนึ่งเข้าใจเป็นอย่างอื่นก็เลิกแล้วต่อกัน เพราะถ้าจะทำให้เข้มข้นกว่านี้ ต้องทำให้เป็น Agreement ไม่ใช่ Understanding หรือเป็น Agreement Contract หรือ Trearty สนธิสัญญาที่มีการผูกมัดกันทางกฎหมายมากกว่า
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ดังนั้นเรื่องนี้ ไม่มีอะไรน่าห่วง ตนมองว่าการเซ็น MOU แรร์เอิร์ธ หรือแร่หายาก น่าจะเป็นเพียงความพยายามที่จะฟื้นฟูคนที่ห่างกันไปสักพักหนึ่ง ให้มาใกล้ชิดเพิ่มมากขึ้น เหมือนเป็นการจุดประกายให้นำไปสู่การพูดคุยเรื่องอื่น ๆ เมื่อเราลงนามในปฏิญญา แสวงหาสันติภาพกับกัมพูชา และต่อมาด้วย MOU แรร์เอิร์ธ สิ่งต่อไปที่เราจะพูดคุยกับสหรัฐฯ ซึ่งเราก็เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยซึ่งก็คือเรื่องข้อตกลงทางการค้าที่กระทรวงพาณิชย์ กำลังเจรจากับทางผู้แทนการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ อย่างเมื่อตอนที่ตนพบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อลงนามเสร็จก็บอกว่าให้ช่วยพิจารณาสนับสนุนให้ช่วยเรื่องภาษี (Tariff) ลดลงมาอีกได้หรือไม่ หากได้ก็จะเป็นพระคุณ เป็นการตอบแทนความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่เสียหาย และสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกัน








