รองปลัด คุณสุนีย์ ศรีสง่าตระกูลเลิศ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า “เมื่อประเทศไทยกำลังเข้าสู่ Super Aged Society อย่างเต็มตัว ไทยกำลังเผชิญวิกฤติโครงสร้างประชากร คนวัยทำงานกลายเป็น “เดอะแบก” ต้องดูแล 2 รุ่นพร้อมกัน หรือกล่าวได้ว่า คนวัย 40+ คือด่านหน้าแห่งวิกฤติครั้งนี้
1. THAILAND ALERT: ยุคของเดอะแบก
ปี 2583 ทุกๆ 1 ใน 3 ของคนไทยจะเป็นผู้สูงวัย = โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงทำให้ รัฐ และ เอกชนต้องปรับระบบรองรับใหม่ทั้งหมด
เดอะแบก หรือ คนวัยทำงานต้องดูแล พ่อแม่สูงวัย + ลูก พร้อมกัน
สถิติครัวเรือน ครัวเรือนที่วางแผนเก็บออมได้สำเร็จมีเพียง 13.2% ในขณะที่ คนวัย 41-60 คือช่วงอายุที่มีการจำนำเยอะที่สุด ชี้ว่า เดอะแบก อาจกำลังแบกไม่ไหว
2.WORK SHIFT : ขยายเกษียณ “คือคำตอบ”
ฝั่งราชการ “ขยายอายุเกษียณ” ติดข้อจำกัดงบประมาณและโครงสร้างเงินเดือนของราชการ แม้พยายามผลักดัน 4–5 ปี แล้วยังยาก
ฝั่งเอกชนกลับมี โอกาสมากกว่า ในการสร้างงานยืดหยุ่น ต่อยอดทักษะ และให้ผู้สูงวัยกลับมาทำงานในบทบาทที่เหมาะสม
3.HOME WITHOUT CARE = CRISIS : บ้านและครอบครัวที่ไม่พร้อมสำหรับผู้สูงวัย
ผู้สูงวัย ติดเตียง ประมาณ 0.63% (42,355 คน) และ ติดบ้านประมาณ 2.4% (162,496) การถูกตัดขาดทางสังคม อาจส่งผลต่อปัญหาทางใจที่ทำให้สุขภาพกาย และ ใจแย่ลง
ผู้สูงอายุที่ติดสังคม จะมีสุขภาพกายและจิตใจที่ดี ดังนั้นโจทย์คือจะทำยังไงให้ผู้สูงอายุติดสังคม และ ติดสังคมให้นานที่สุด นำมาสู่การนำผู้สูงวัยที่ติดสังคม ไปช่วยดูแลผู้ป่วยสูงวัยติดเตียง
บ้าน หรือ ที่อยู่อาศัยของประเทศไทยไทย ไม่ได้ออกแบบเพื่อผู้สูงอายุและคนพิการ
เช่น “ชักโครกต้องมีราวเกาะ” และ “การอาบน้ำควรมีเก้าอี้นั่ง” ซึ่งสิ่งเหล่านี้นำมาสู่สถิติการลื่นล้มบริเวณบ้าน
ถอดบทเรียน : โอกาส + ทางออก
Silver Talent : ทางออกกำลังคนผ่าน “งานยืดหยุ่น” ดึงประสบการณ์กลับสู่ระบบงาน ผ่านงานยืดหยุ่นที่วัดผลได้ สร้างตำแหน่ง part-time/ที่ปรึกษา ในหน่วยงานท้องถิ่น หรือ เอกชน
ออกก่อนดีกว่า : รณรงค์เรื่องการออม โดยเฉพาะสำหรับ GEN X-Y หรือ คนในช่วงวัยที่กำลังจะเริ่มต้นเป็นวัยเดอะแบก และ เดอะแบก เพื่อให้รู้ก่อน ออมก่อน เพื่อชีวิตบั้นปลายที่ดีกว่า
Design for Independence : รณรงค์ให้ความรู้ มาตรฐานบ้านปลอดภัยสำหรับผู้สูงวัย โดยเริ่มจาก 3 อย่างที่เป็นพื้นฐาน คือ ราวเกาะห้องน้ำ–พื้นกันลื่น–เก้าอี้อาบน้ำ
ต่อยอดเป็นโอกาสที่สินค้าและบริการไม่ว่าจะ ร้านวัสดุก่อสร้างที่นำมาขายเป็นแพ็กเริ่มต้นสำหรับต่อเติมบ้านเพื่อผู้สูงอายุ รวมทั้งเอกชนสามารถสร้างโอกาสโดยต่อยอดเป็นโครงการ “บ้านพร้อมใช้สำหรับสูงวัย” เพื่อเปลี่ยนวิกฤติสูงวัยให้กลายเป็นโอกาสได้
ทักษะใหม่… วัยอิสระ : เพิ่มช่องทางการ Upskill/Reskill ให้ผู้สูงวัย ทั้งจากทางรัฐและเอกชน เพื่อให้ผู้สูงวัยที่มีใจและมีศักยภาพ กลับเข้าตลาดแรงงานได้
SOCIAL CARE IN ACTION : ให้ผู้สูงวัยช่วยดูแลกันเอง โดยดึงผู้สูงวัยที่มีลักษณะติดสังคม มาเป็นอาสาเยี่ยมบ้าน/พาทำกิจกรรม ช่วยกันแก้ปัญหาหรือ ให้ความรู้ดีๆ กับผู้สูงวัยติดบ้าน เพื่อเปลี่ยนสูงวัยติดบ้าน ให้กลายเป็นสูงวัยติดสังคม และ มีสุขภาพจิต และ สุขภาพใจที่ดีขึ้น
วิกฤติกระเป๋าเงินและภูเขาหนี้ของคนไทย
สุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) กล่าวว่า วิกฤติกระเป๋าคนไทยกำลังกดทับชีวิตประจำวัน รายได้โตไม่ทันรายจ่าย จนก่อเป็น “ภูเขาหนี้” ก้อนใหญ่ของวัยทำงาน จึงต้องหันกลับมามองปัญหาตามข้อมูลจริง เพื่อหาทางรอด และพาสังคมไทยไปต่อได้อย่างเป็นระบบ
1.เครื่องยนต์อ่อนแรง (เศรษฐกิจ)
ไตรมาส 4 ถ้า “ไม่มีมาตรการพยุง” คาดเศรษฐกิจไทยจะโตได้เพียงราว 0.3% หรือเรียกว่าแทบจะไม่โตเลย ทั้งที่เป็นช่วงที่ควรเศรษฐกิจคึกคักที่สุด เป็นที่มาของโครงการคนละครึ่ง
ในขณะที่แบงค์ชาติคาดการณ์ ปีนี้ทั้งปีเติบโตประมาณ 2.2% ในขณะที่ปีหน้าทั้งปีเหลือแค่ 1.6%. ดังนั้น ถ้าเศรษฐกิจเติบโตแค่ 1-2% คำถามนี้จะนำไปสู่คำตอบของ รายได้ โบนัส โอกาสเลื่อนขั้น หรือ อนาคตของวัยทำงานทุกคน
2.ปัญหาสุขภาพการเงินของเดอะแบกกว่า 30 ล้านคน
เมื่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจอ่อนแรง กระทบคนกลุ่มใหญ่ในสังคมคือ GEN X และ GEN Y ซึ่งเป็น “เดอะแบก” หรือคนทำงานที่ต้องเลี้ยงดู พ่อแม่สูงวัย ลูก และ ตัวเอง ซึ่งรวมกันมากกว่า 30 ล้านคน
ข้อมูลผู้ประกอบอาชีพอิสระกว่า 10 ล้านคน พบรายได้ 3 ปีย้อนหลังที่ตกไปตั้งแต่โควิด เพิ่งขึ้นมาถึงยอดก่อนหน้าสถานการณ์โควิด อีกทั้งผลสำรวจพบว่า รายได้เฉลี่ยโตคนไทยโตขึ้นประมาณ 3% ในขณะที่รายจ่ายเฉลี่ยโต 5% ชี้ให้เห็นปัญหาหนี้สินซ้ำเติมที่คนไทยกำลังเผชิญ
34% ของครัวเรือนไทยมีหนี้นอกระบบ หรือเกือบ 1 ใน 3 ของครัวเรือนไทยจำเป็นต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบที่ดอกเบี้ยสูงกว่าในระบบประมาณ 8 เท่า
คนไทยมีหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 708,736 บาท ซึ่งเป็นหนี้ในระบบ 86.1% ซึ่งสะท้อนภาระหนี้ที่คนไทยแบบรับในชีวิตจริง
3.คนไทยคือผู้ก่อกู้
คนไทยเริ่มก่อหนี้ตั้งแต่อายุ 21-27 ปี ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย(Housing Loan) และ สินเชื่อรถยนต์ (Auto Loan)
ยอดหนี้ พุ่งสูงสุดช่วงอายุ 40–45 ปี ซึ่งคือช่วงที่คนส่วนใหญ่เริ่มมีบ้าน มีรถ และมีภาระดูแลครอบครัว โดยส่วนใหญ่เป็น สินเชื่อที่อยู่อาศัย (Housing Loan) ก้อนใหญ่ที่สุดในระบบ สินเชื่อรถยนต์ (Auto Loan) สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan)
“ภูเขาหนี้เสีย” (NPL) หรือค้างชำระเกิน 90 วัน จะมียอด สูงสุดในช่วงอายุ 40–45 ปี ส่วนมากเป็น สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) บัตรเครดิต (Credit Card) สินเชื่อรถยนต์ (Auto Loan) ในขณะที่หนี้บ้านแม้จะยอดสูงแต่สัดส่วน NPL ต่ำกว่า
ดังนั้น คนวัย 40–45 ปี คือหัวใจของภูเขาหนี้ไทย” เพราะเป็นช่วงที่ชีวิตอยู่ตรงกลาง มีทั้งบ้าน รถ ลูก และพ่อแม่สูงวัยให้ดูแล รายได้ที่โตช้าในช่วงเศรษฐกิจชะลอ ทำให้เกิดความเสี่ยง NPL ของกลุ่มนี้สูงที่สุด
ข้อมูลหนี้สิน เทียบปี 61 และ ปี 67 หนี้เสียสูงสุดในช่วงอายุ 40-45 ปี และ หนี้เสียเพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 61 เป็น 22% ในปี 67
ในขณะที่ผู้กู้ที่ยังมีสุขภาพการเงินที่ดี และ ไม่มีหนี้เกินศักยภาพ หรือ คนที่ยังพอขอกู้ได้วันนี้ ในประเทศไทยเหลือประมาณ 25% หรือประมาณ 4.7 ล้านคน (จากฐานข้อมูลลูกหนี้ 27 ล้านราย)
ถอดบทเรียน : ทางลงจากภูเขาหนี้สินของคนไทย
เปิดสัญญาณเตือน - ช่วยเหลือเชิงรุก : ใช้ข้อมูลเครดิตระดับประเทศคัดกรองผู้ที่ จ่ายได้แค่ดอก ราว 38% หรือ 7.2 ล้านคน และผู้กู้ที่สามารถใช้หนี้ได้แต่เริ่มมีหนี้เกินศักยภาพ 20% หรือ 3.8 ล้านคน ให้เข้าถึงความรู้ และ บริการทางการเงิน เช่น รีไฟแนนซ์ หรือ รวมหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ เชิงรุกก่อนจะกลายเป็นผู้ที่มีหนี้สินเกินศักยภาพ หรือ เกิดหนี้เสียในท้ายที่สุด
Laser Focus : หัวใจของภูเขาหนี้สินคือคนวัย 40-45 หรือ เดอะแบกช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ โดยออกแพ็กเกจสำหรับวัยกลางคนที่รับภาระหลายชั้น เช่น บ้าน รถ ลูก และ พ่อแม่สูงวัย ซึ่งเป็นช่วงที่ NPL พุ่งสูงสุดในระบบ โดยเริ่มที่ การรวมหนี้ หรือ ลดดอกเบี้ยตามวินัยการจ่าย และ แผนชำระหนี้ที่ผูกกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือ มีบริการทางการเงินที่มีดอกเบี้ยต่ำเป็นต้น
คลินิกการเงิน ณ ที่ทำงาน : ไม่ว่าจะภาครัฐ หรือ เอกชน ร่วมกัน ตั้งจุดให้คำปรึกษา และ เครื่องมือจัดการโครงสร้างหนี้ที่ผูกติดกับเงินเดือนสำหรับ เดอะแบก หรือ คน GEN X-Y ซึ่งอยู่คาบเกี่ยวระหว่าง “สังคมสูงวัย” และ “สังคมสูงหนี้”
เพิ่มรายได้และวินัยพร้อมกัน : ขับเคลื่อน Silver Talent ด้วยงานที่ยืดหยุ่นเพื่อเสริมรายได้ ควบคู่แคมเปญความรู้การเงินแบบ “ออมก่อนดีกว่า” (รู้ก่อน–ออมก่อน–จ่ายหนี้ถูกจุด) ให้เป็น one-stop ตั้งแต่ความรู้จนถึงลงมือแก้ปัญหา หรือ จัดการหนี้สิน
“สุขภาพการเงินดี = ชีวิตอิสระ”
โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือ Money Coach กล่าวว่า “การเงินเตรียมให้พร้อมได้ตั้งแต่อายุ 40 ยังทัน มนุษย์ที่สะสมเงินวันนี้เท่านั้นถึงจะมีอนาคตข้างหน้าที่สบาย ในวัยที่หลายคนเริ่มมีทั้งภาระและความฝัน สิ่งสำคัญคือการกลับมาทบทวน “ความพร้อมทางการเงิน” ของตัวเองให้ดี เพราะจุดเปลี่ยนของชีวิตไม่ได้อยู่ที่รายได้มากหรือน้อย แต่อยู่ที่ “วินัยและเป้าหมาย” เพราะหากไม่มีเป้าหมาย ก็จะไม่มีวันไปถึงปลายทาง
1.MONEY ALERT: ถ้าวันนี้เกษียณ…คุณรอดไหม
การวางแผนการเงิน = ทำตัวเลขอนาคตไม่ใช่การคาดเดาอนาคต
เรื่องเงินของเรา ไม่ต้องเทียบใคร เพราะโจทย์ชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน
เกษียณเงิน แต่ไม่เกษียณงาน เราสามารถเลือกงานยืดหยุ่น งานที่รัก เพื่อคุณภาพชีวิตระยะยาว
2.THE NEW RULES FOR 40+: MONEY CHECK-UP
ออมอย่างน้อย 10% ของรายได้ต่อเดือน
ภาระหนี้รวมไม่เกิน 50% ของรายได้
มีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย6 เดือน ของรายจ่ายจำเป็น
ความมั่งคั่งสุทธิ หรือ รายได้สุทธิ ต้องเป็นบวก เกิดจากรายได้ที่มากกว่ารายจ่าย และต้อง “บวกเพิ่มขึ้นทุกปี”
3.DEBT EXIT PLAYBOOK: ปลดหนี้–ลดความเสี่ยง
ทำงบ รายรับ- รายจ่ายล่วงหน้า 3-6 เดือน ให้เห็นสภาพคล่องจริง
หยุดเลือดที่กำลังไหล ด้วยการลดรายจ่าย งดหนี้ใหม่ ใช้จ่ายอย่างมีสติ
ขอเจรจาเพื่อปรับลดการผ่อนชำระหนี้ เช่น ลดงวด ยืดเวลา ลดดอก รีไฟแนนซ์รวมหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ ตามความเหมาะสม
วางแผนเพิ่มรายได้ จากทุนชีวิตและทักษะที่มี
4.RETIREMENT DESIGN: เรื่องต้องทำก่อนเกษียณ
มีที่อยู่อาศัย หรือ วางแผนที่อยู่อาศัยให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา และ ค่าใช้จ่ายการเช่าบ้านในวัยเกษียณ
เคลียร์หนี้ให้หมด ก่อนถึงวัยเกษียณ
มีเงินเก็บ และ บริหารเงินให้เป็น สามารถดูแลตัวเอง ซึ่งพอเราดูแลตัวเองได้ และเหลือพอจะแบ่งปัน จะทำให้ลูกหลานรัก
สร้าง Passive Income ในรูปแบบไหนก็ได้ เช่น ดอกเบี้ย ปันผล ค่าเช่าค่าลิขสิทธิ์ ให้ครอบคลุมรายจ่ายหลังเกษียณ
5.MINDSET : วิธีคิดของคนที่จะมีชีวิตอิสระ
อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่รู้ “ไม่มีใครหาเงินได้มากกว่าความสามารถของตัวเอง”
ออมเล็กๆ อย่างต่อเนื่อง เหมือน ปลูกต้นไม้เดือนละต้น 1 ปี ได้ 12 ต้น แต่ถ้า 30 ปี จะได้ต้นไม้ 360 ต้นที่กลายเป็น “ป่าที่หล่อเลี้ยงชีวิตเรา”
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ระหว่าง “สังคมสูงวัย” และ “สังคมสูงหนี้” เมื่อคนอายุยืนแต่ยังไม่มีความพร้อม ทั้งรายได้ และ ปัญหาอื่นๆ ที่เกิดจากการไม่ได้เตรียมตัว ส่งผลให้วัยทำงานกลายเป็น เดอะแบก ต้องเลี้ยงคนทั้งสองรุ่น และ จ่ายหนี้ไปพร้อมกัน ปัญหา “สังคมสูงวัย” จึงไม่ใช่เรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่คือภารกิจของคนไทยทุกคน ที่ถึงเวลาที่พวกเราต้องมาส่งต่อความรู้ วางแผน และ ลงมือทำ เพื่อพาคนไทยไปสู่ชีวิตที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง








