ในวันเดียวกัน 22 ตุลาคม 68 ที่ผ่านมา เกิดปรากฎการณ์ “ลาออก” จากตำแหน่ง ของ “บิ๊กเนม” แม้จะต่างกรรม แต่อยู่ในห้วงเวลาห่างกันไม่กี่ชั่วโมง !
“แพทองธาร ชินวัตร” ลาออกจากตำแหน่ง “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ให้เหตุผลเพื่อเปิดทางให้ “เพื่อไทย” ได้ “ยกเครื่องพรรค” เตรียมพร้อมลงสนามเลือกตั้ง
จากนั้นต่อมาไม่กี่ชั่วโมง “วรภัค ธันยาวงษ์” แถลงข่าวที่กระทรวงการคลัง และประกาศลาออกจาก “รมช.คลัง” เพื่อปิดช่องทางไม่ให้ปัญหาส่วนตัว กระทบไปถึง “รัฐบาล” หลังจากที่วรภัค โดนมรสุมกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ ของกัมพูชา
หมายความว่า การลาออกของวรภัค เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐบาล “อนุทิน 1” ซึ่งเหลือเวลาทำงานอีกไม่เดือน โดยที่มีความชัดเจนแล้วว่า “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ไม่มีการตั้งรัฐมนตรีใหม่ เข้ามาแทนวรภัคเนื่องจากเวลาของรัฐบาลมีจำกัด ดังนั้นจะมอบหมายให้ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกฯและรมว.คลัง กำกับดูแลงานของวรภัค
แต่สำหรับการลาออกของแพทองธาร ในมิติการเมืองแล้วต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อ “ขวัญกำลังใจ” สมาชิกพรรคเพื่อไทย ไม่น้อย ทั้งที่เป็นสส. ในสภาฯ ไปจนถึง สมาชิกที่เป็น “แฟนคลับ” ในแต่ละจังหวัด
เมื่อวันนี้ และจากนี้ไป จะไม่มีคนจาก “ครอบครัวชินวัตร” ขึ้นมานั่งอยู่หัวแถว เพื่อนำทัพลุยหาเสียง เลือกตั้งครั้งใหม่
คำถามจากนี้ จะอยู่ที่ว่า เมื่อไม่มีคนจากชินวัตร มานำทัพปลุกให้สู้ในเชิงสัญลักษณ์ แล้ว “ ใคร” จะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ในห้วงที่เพื่อไทย อยู่ในสภาพ “บาดเจ็บหนัก” ทั้งการพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งซ่อม สส. ทั้งที่ศรีสะเกษ และกาญจนบุรี 2 ครั้งติดๆกัน ยังบวกกับปัญหา เลือดไหลออก สส.และกลุ่มการเมืองในพรรค เตรียมเก็บกระเป๋า ลาออกจากพรรคกันหลายระลอก !
ในวันเดียวกับที่แพทองธาร แจ้งการลาออกจากหัวหน้าพรรค อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 22 ต.ค.68 ที่ผ่านมา ปรากฏชื่อบุคคลที่มาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ ทั้ง “ จาตุรนต์ ฉายแสง” และ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์”
ซึ่งในรายของ จุลพันธ์ ถูกจับตาว่า จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” นักการเมืองอาวุโส ของพรรค เพิ่ง “ลาออก” จากพรรคเพื่อไทย ด้วยปัญหาความขัดแย้งภายใน ดังนั้นจุลพันธ์ จะเป็นตัวเลือกได้หรือไม่
เวลานี้มีรายงานว่า สส.ในพรรคหลายกลุ่มหนุนจาตุรนต์ ให้ทำหน้าที่นี้ เพราะมีความเหมาะสมมากกว่าใคร และหากย้อนกลับไป เมื่อปี 2549 จาตุรนต์ เคยนั่ง “รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย” มาแล้ว ซึ่งในห้วงเวลานั้น พรรคไทยรักไทย อยู่ในภาวะที่ยากลำบากกว่าเวลานี้ ทั้งวันที่ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯและอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค หลังเกิดรัฐประหาร ในปีเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีชื่อของ พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หลานชาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการพรรค ที่มีข่าวว่าน่าจะได้รับการผลักดัน ให้ได้นั่งตำแหน่งใหญ่ ส่วนหนึ่งเพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่า “ตระกูลจึง” จะดูแลสส.ในการเลือกตั้งรอบหน้าได้ ไม่น้อยหน้าพรรคคู่แข่ง
นอกจากนี้ยังมีของ “สรวงศ์ เทียนทอง” เลขาฯพรรค อาจจะพาสชั้นขึ้นไปนั่ง หัวหน้าพรรค แล้วขยับให้ “มนพร เจริญศรี” สส.นครพนม แกนนำหลัก จะมาเป็น “เลขาฯพรรค” แทน
และหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เคยมีชื่อ “วราวุธ ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา จะมานั่งหัวหน้าพรรค แต่สุดท้าย เจ้าตัวออกมาชี้แจงและยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีความคิดที่จะไปอยู่พรรคไหน มีแต่จะเตรียมความพร้อม ของพรรคเพราะใกล้เลือกตั้งเข้ามาแล้ว
การไร้หัว ขาด “แม่ทัพ” สำหรับพรรคเพื่อไทย ยังเป็นเรื่องใหญ่ และหากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อออกไป นานเท่าใด ยิ่งไม่เป็นการดี แต่ขณะเดียวกัน ปัญหาของพรรคเพื่อไทยที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้ รุนแรงเกินกว่าที่จะเลือก บุคคล ที่มีชื่อปรากฏตามหน้าสื่อมากู้สถานการณ์ได้อย่างใด
กระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทย ที่ตกต่ำกลายเป็นหุ้นการเมืองที่แม้จะไม่ถูกมองข้าม แต่ไม่ใช่หุ้นที่น่าลงทุนนัก !
และมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจว่า หากการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งจะรวมถึง หัวหน้าพรรคคนใหม่ในเดือนหน้า หากเปิดชื่อมาแล้ว ยังไม่เสียง “ว๊าว” ตอบรับจากสังคม โอกาสที่พรรคเพื่อไทย จะเผชิญกับ ปัญหาเลือดไหลรุนแรงกว่าเดิม ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น !
หรือที่สุดแล้ว ทักษิณ อาจต้องเลือกกลับไปใช้สูตรเดิม นั่นคือการเลือก จาตุรนต์ ฉายแสง ให้นั่งรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วเมื่อยามพรรคไทยรักไทย ประสบกับปัญหาเจอสารพัดวิกฤต รัฐบาลไทยรักไทย ถูกยึดอำนาจ พรรคตกต่ำ สส.ไหลออก เมื่อปี 2549 ก็เป็นจาตุรนต์ คนนี้ที่อยู่กับพรรค จากวันที่ทักษิณ ถูกรัฐประหารจนถึงวันที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ เมื่อเดือนพ.ค.2550








