ความเจ็บปวดจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ แต่พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตกลับยิ่งโกรธเคืองและเหินห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ วิกฤตการเมืองครั้งนี้เข้าสู่สัปดาห์ที่สามโดยไม่มีสัญญาณของการสิ้นสุด ขณะที่พนักงานรัฐบาลหลายแสนคนต้องถูกพักงาน พิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียนและสวนสัตว์แห่งชาติปิดให้บริการ ระบบควบคุมการจราจรทางอากาศของประเทศตึงเครียดอย่างหนัก
ความขัดแย้งที่ดุเดือดอยู่แล้วพลิกผันอย่างรุนแรงในคืนวันศุกร์ เมื่อรัฐบาลไล่ข้าราชการหลายร้อยคนออกเพื่อลงโทษพรรคเดโมแครต แม้ภายหลังจะมีการยกเลิกคำสั่งไล่ออกบางส่วนของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) อย่างเร่งด่วน
สถานการณ์ที่ยืดเยื้อจนกลายเป็น “วิกฤตเดือดช้า” (Slow-Boil Crisis) ทำให้สหรัฐฯ อยู่ในภาวะชะงักงันโดยไร้ทางออก ขณะที่สองพรรคใหญ่ยังคงปักหลักต่อสู้ไม่ลดราวาศอก ไม่มีสัญญาณของการเจรจาอย่างจริงจังบนแคปิตอลฮิลล์
พรรคเดโมแครตในวุฒิสภาปฏิเสธการอนุมัติร่างกฎหมายชั่วคราวเพื่อจัดสรรงบประมาณให้รัฐบาล จนกว่าพรรครีพับลิกันจะยอมขยายการอุดหนุนตามพระราชบัญญัติการดูแลสุขภาพราคาประหยัด (Affordable Care Act) ที่กำลังจะหมดอายุ และยุติแผนตัดงบ Medicaid ของรัฐบาลทรัมป์ ขณะที่พรรครีพับลิกันยืนยันจะเปิดรัฐบาลก่อนค่อยเจรจา
ความไม่ไว้วางใจที่สะสมมาตลอด 9 เดือนหลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่งสมัยที่สอง ทำให้ช่องว่างทางการเมืองยิ่งลึก ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่โทษพรรครีพับลิกันว่าเป็นต้นเหตุ แต่ยังไม่มีฝ่ายใดทำคะแนนได้อย่างเด็ดขาด
ในขณะที่ทรัมป์เดินทางไปตะวันออกกลางเพื่อเจรจาข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส ซึ่งถือเป็นผลงานเด่นด้านการทูตของเขา การเมืองภายในกลับลุกเป็นไฟ หน่วยงานรัฐหลายแห่งถูกปิด เสียงบ่นของประชาชนขยายวงกว้าง แต่ในระดับชาติกลับไม่มีแรงผลักดันเพียงพอให้รัฐบาลกลับมาเปิดอีกครั้ง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ส่งหนังสือเลิกจ้างเจ้าหน้าที่กว่า 4,000 คน เพื่อตอบโต้ผู้นำเดโมแครตที่ต่อต้านนโยบายทรัมป์ โดยอ้างว่าเป็นมาตรการ “ปกป้องทรัพยากร” ของรัฐ แม้จะมีเสียงวิจารณ์อย่างหนักว่าการเลิกจ้างเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไร้หัวใจและทำลายขวัญข้าราชการผู้ปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์
ในเวลาเดียวกัน กระทรวงกลาโหมประกาศจัดสรรงบพิเศษเพื่อจ่ายเงินให้ทหารที่ได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงาน ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ให้ทรัมป์ในฐานะผู้นำที่ “ยืนข้างทหาร” แม้จะถูกมองว่าเป็นการลดแรงกดดันทางการเมืองต่อเดโมแครตก็ตาม
ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ศูนย์ควบคุมโรค (CDC) กลับกลายเป็นเหยื่อรายใหญ่ การเลิกจ้างที่เกิดขึ้นส่งผลให้เจ้าหน้าที่สำคัญถูกปลด รวมถึง อาธาเลีย คริสตี ผู้บัญชาการหน่วยรับมือโรคหัด ในขณะที่อัตราการระบาดของโรคหัดพุ่งสูงสุดในรอบ 25 ปี
ในด้านการเมือง วุฒิสมาชิกมาร์ก เคลลี จากพรรคเดโมแครต ออกมาวิพากษ์การกระทำของทรัมป์ว่าเป็น “การเมืองแบบทำลายล้าง” ที่ทำให้ข้าราชการผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน “พวกเขามีครอบครัว มีภาระ มีบ้านต้องผ่อน แต่กลับถูกใช้เป็นตัวประกันทางการเมือง” มาร์ก เคลลี ให้สัมภาษณ์สื่อ
ขณะที่รองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ ยืนยันว่ารัฐบาล “ไม่มีทางเลือก” พร้อมกล่าวโทษเดโมแครตว่าเป็นต้นเหตุของความล่าช้าในการฟื้นฟูระบบสวัสดิการพื้นฐาน “เราต้องถามว่าเราสนใจใครมากกว่ากัน ข้าราชการในดี.ซี. หรือครอบครัวอเมริกันที่กำลังลำบาก” เขากล่าวผ่านสื่อเช่นกัน
ในอีกด้านหนึ่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไมค์ จอห์นสัน เปิดฉากโจมตีเดโมแครตเช่นกัน โดยกล่าวหาว่าพรรคฝ่ายค้าน “จงใจถ่วงเวลาเพื่อผลทางการเมือง” ขณะที่พรรครีพับลิกันภายในเองก็เริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ส.ส. หลายรายออกมาเรียกร้องให้เปิดสภาอีกครั้งเพื่อแก้ทางตัน แต่เสียงส่วนใหญ่ยังคงเลือกจะ “โทษกันไปมา”
ความขัดแย้งนี้ดูจะไม่คลี่คลาย จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตระหนักว่า การเปิดรัฐบาลอีกครั้งให้ผลทางการเมืองมากกว่าการปล่อยให้ประเทศจมอยู่ในความมืดต่อไป
#ทรัมป์ #รัฐบาลสหรัฐ #ปิดหน่วยงานรัฐ #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวการเมืองสหรัฐ #ShutdownUSA #DonaldTrump #DemocratsVsRepublicans #วิกฤตรัฐบาลสหรัฐ #สหรัฐปิดประเทศ