ดร.วิชัย พยัคฆโส [email protected] ข่าวดีของคนไทยคือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศเป็นศูนย์คนมากว่า 30 วัน ตามมาตรฐานโลกแล้ว พ.ร.บ.ฉุกเฉินจะยืดอายุต่อไปตามที่ทราบกันแล้ว ทำให้บรรยากาศโควิด-19 ไม่เข้มข้น แต่เจือจางลง เพราะผ่อนปรนเฟส 5 ส่งผลให้เสียงปี่กลองทางการเมืองเริ่มระอุขึ้น บรรดาพรรคขนาดเล็กต่างมีเสียงเล็ดลอดออกมาว่าจะส่งคนโน้นคนนี้ไปแข่งเป็นรมต.กับเขาบ้าง ส่วนพรรคใหญ่ๆอย่างเพื่อไทยแตกตัวออกไปตั้งกลุ่มใหม่ขึ้นมาอีก เพราะคงเห็นทีท่าของพรรคเพื่อไทยระยะหลังจะเป็นใจให้พรรครัฐบาลมากขึ้นกระมัง เพราะมีข่าวว่าหัวหน้าพรรคคนใหม่ของพลังประชารัฐได้เลี้ยงงูเห่าไว้หลายคน และมีโอกาสจะเข้ามาร่วมเป็นรัฐบาลในอนาคต อาจจะเป็นเพราะนายกรัฐมนตรีได้ประกาศว่าจะรวมไทย สร้างชาติ มีนัยสำคัญว่าจะปฏิรูปการเมือง รวมเอาคนไทยทั้งชาติมาร่วมกันสร้างชาติ ทำให้พรรคเล็ก พรรคน้อยต่างอ้างว่าพรรคตัวเองมีเสียงกี่เสียง น่าจะมีโอกาสเข้าร่วมเป็นรัฐบาลได้บ้างแล้ว ทั้งๆที่ชื่อชั้นคนที่ถูกเสนอยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่มีแนวคิดจะปฏิรูปสังคมแบบแปลกๆ นายกรัฐมนตรีได้ออกทีวีพร้อมกับชื่นชมคนไทยว่า หลังจากเหตุการณ์โควิด-19 สงบลง พบว่าคนไทยมีน้ำใจ รู้จักแบ่งปัน สามัคคีกัน และมีคนเก่งอยู่ในสังคมนี้อีกมาก จึงพอที่จะเกิดความคิดที่จะให้รัฐบาลปรับแนวทางการทำงานเสียใหม่ เช่น 1.เชิญชวนคนไทยทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะให้มากที่สุด 2.การทำงานทุกเรื่อง จะมีหลักการประเมินผลงานที่สร้างผลสัมฤทธิ์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง 3.ทำงานเชิงรุกไม่ตั้งรับเหมือนเดิม โดยมุ่งเน้นอนาคตของประเทศตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ดังจะเห็นได้จากการเชิญสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมาช่วยระดมความเห็นในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมหลายเรื่อง ล้วนแล้วแต่ถ้าทำได้สำเร็จจะเป็นเป้าหมายของชาติอย่างแท้จริง จากนี้คงเชิญสภาหอการค้าไทยมาร่วมคิดอีก รวมทั้งองค์กรอิสระระดับชาติอื่นๆ นอกเหนือจากบรรดาเศรษฐี 20 คน ที่ได้เสนอแนวคิดไว้แล้ว แต่การได้มาซึ่งประเด็นต่างๆนั้น รัฐบาลจะทำได้มากน้อยเพียงใดหรือจะ how to อย่างไรกับข้าราชการที่ยังยึดติดกับการทำงานแบบเดิมๆ คือ เชิงรับ ที่คอยสดับรับฟังปัญหาให้เกิดก่อน ไม่ได้คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป ดังเช่น เกษตรกรรมของประเทศที่มีส่วนสำคัญว่าเราจะผ่านพ้นเรื่องเดิมๆไปได้อย่างไร เอาแต่เสนองบประมาณแบบเบี้ยหัวแตกไปวันๆ เป็นเวลานับร้อยปีแล้ว ยังมีปัญหาเก่าๆเดิมๆอยู่ นายกรัฐมนตรีคงต้องสรรหาคนดี คนเก่ง ทั้งจาก ส.ส. นักการเมือง และนักธุรกิจ ที่มีใจเสียสละเพื่อชาติ โดยไม่ต้องเกรงใจว่าจะเป็น ส.ส.หรือไม่ การแบ่งกลุ่มแบบเอาคะแนนเสียงมากดดัน ให้มีโควต้าเหมือนเดิมน่าจะหมดไปได้แล้ว ส.ส. ส.ว. ทั้งหลายน่าจะต้องยอมให้คนเก่งๆในเชิงธุรกิจที่เขาประสบความสำเร็จมาแล้ว มีโอกาสเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ แต่คนดี คนเก่ง ในภาคธุรกิจเขาเข็ดหลาบกันหมดแล้ว เพราะเมื่อเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง มีแต่เสียไม่มีได้ มีแต่เสมอตัว หรือหมดเนื้อหมดตัว รวมทั้งเสียชื่อเสียงไปกับการเมืองด้วย เพราะสถานการณ์ปีนี้ต่างจากปี 2540 ที่มีปัญหาเฉพาะกลุ่มโซนเอเชียไม่กี่ประเทศ และไม่ขยายวงทางธุรกิจเช่นปีนี้ ที่ลุกลามกระทบไปสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการ ถึงกับปิดกันยาวนาน ระบาดไปทั่วโลก คงต้องใช้เวลาฟื้นฟูกันอีกนาน ต้องอาศัยคนเก่ง คนดี ในธุรกิจมาเสริมเพื่อรวมไทย สร้างชาติ