แสงไทย เค้าภูไทย
การสวมหน้ากากป้องกันไวรัสยามนี้ เป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้ว หลังจากฝรั่งตายกันเป็นเบือ เหตุไม่แยแสต่อหน้ากาก อ้างว่าใช้เฉพาะผู้ติดเชื้อเท่านั้น
ฝรั่งในเมืองไทย ขณะนี้เริ่มสวมหน้ากากเมื่อออกมาสถานที่สาธารณะกันมากขึ้น
แต่กระนั้น ในย่านทองเที่ยว เช่นภูเก็ต สมุย กะรน ฯลฯ นักท่องเที่ยวฝรั่งยังละเลยกันอยู่ ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในย่านนี้ยังมีสูง
ยิ่งขณะนี้ คนใต้ โดยเฉพาะมุสลิม ทยอยกันกลับบ้าน จากประเทศเสี่ยง ก็ทำให้กังวลว่า จะมาเติมจำนวนผู้ป่วยไวรัสมากขึ้น จากส่วนก่อนหน้านี้ที่เริ่มชะลอตัวลง
ชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยขณะนี้ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ยังตกค้าง กลุ่มฝรั่งที่ใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองไทยเหตุได้รับเงินบำเหน็จบำนาญน้อยไม่พอยังชีพในประเทศของตนและกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจข้ามชาติ
ชาวต่างชาติเหล่านี้ ใช้ชีวิตเสรี ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับทางการไทยในมาตรการป้องกันไวรัสในรูปแบบต่างๆ
จะเรียกว่าดื้อด้าน ไม่เคารพกฎหมายไทยก็ว่าได้
ก่อนหน้าที่ตัวเลขผู้ป่วย คนตายเป็นเบือจะพุ่งทะยาน พวกเขาได้ปฏิเสธหน้ากากป้องกันการติดเชื้อที่แจกฟรี อ้างเหตุผลทางการแพทย์ว่า ถ้าไม่ใช่คนป่วย ไม่จำเป็นต้องสวม
แต่ไม่ได้คิดว่า การไม่มีอาการป่วย ไม่ได้หมายถึงไม่ติดเชื้อไวรัส
เพราะคนที่แข็งแรง มีภูมิต้านทานสูง แม้ติดเชื้อไวรัส ก็ยังไม่ปรากฏอาการ แต่สามารถเป็นพาหะแพร่เชื้อได้ จากการสัมผัส การใช้บริการสาธารณะ
งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า การแพร่เชื้อจากคนสู่คนนั้น มิใช่แค่จากการสัมผัส การไอ จาม เท่านั้น หากแต่จากลมหายใจที่ลอยไปในอากาศ(aerosal)ถึง 3-6 เมตรได้
ถ้าเป็นกลางแจ้ง กลางแดดร้อนเปรี้ยงๆ เชื้อในอากาศ (airborne) จะอยู่ได้แค่ 2-5 นาทีก็ตาย
แต่ในเมืองหนาว ซึ่งขณะนี้พวกยุโรป อเมริกาเหนือ จีน แม้จะย่างเข้าฤดูไม้ผลิ แต่อากาศยังเย็นหรือบางพื้นที่ถึงกับหนาว ซึ่งสภาพเช่นนั้น จะทำให้เชื้อไวรัสมีชีวิตอยู่ได้ถึง 3 ชั่วโมง
และแม้แต่ในห้องปรับอากาศ เชื้อไวรัสในอากาศก็อยู่ได้ถึง 3 ชั่วโมงเช่นกัน ขณะที่ในร่ม ที่ลมไม่ผ่าน เชื้อไวรัสก็สลายตัวช้าลง อยู่ได้ราว 30 นาที
จึงควรหลีกเลี่ยงการแลกเปลี่ยนลมหายใจกันและกันในสถานที่ปิดเช่นนั้น
การสวมหน้ากาก ถ้าเนชนิดผ้าด้านหน้าสีฟ้า ลดเสี่ยงได้ราว 44% ส่วนชนิด N95 ลดได้ราว 95%
อาจจะมองว่าหน้ากากไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อขาเข้าได้ 100% แต่สำหรับลมหายใจขาออก มันลดการแพร่เชื้อในกรณีที่ผู้สรวมหน้ากากเป็นผู้ติดเชื้อได้100% ในกรณีที่อยู่ห่างกันเกิน 3 ฟุตหรือราว 1 เมตร
ถ้าสามารถรักษาระยะห่างคนต่อคน ราว 2 เมตรได้ การแพร่เชื้อก็จะเกิดขึ้นยาก
ฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย ปฏิเสธการรับหน้ากาก(ฟรี)อ้างว่าตนไม่ใช่พวกติดเชื้อ ผลก็คือ พวกนั้นกลับบ้านแล้วต้องเข้าโรงพยาบาล ตายกันเป็นเบือ
ซ้ำคนที่ยังไม่กลับ ก็เสี่ยงที่จะเป็นผู้แพร่เชื้อ แม้จะอวดตัวว่าไม่มีอาการก็ตาม
นอกจากความอวดรู้ ถือดี ไม่มีวินัยแล้ว ยังเป็นพวกมักง่าย อยากทำอะไรก็ทำ ซึ่งศิลปินวัย 80 ชาวอิตาเลียนบรูโน บอซเซ็ตโตทำภาพยนตร์สั้นเผยแพร่ปี 2009 ที่มีผู้นำมาแพร่ซ้ำในช่วงนี้
เพื่อชี้ว่า การขาดวินัย มักง่าย ดื้อรั้นของคนอิตาลี เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มีคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ล้นหลาม
คนไทยเองก็มีนิสัยไม่ต่างจากพวกนี้ คือไร้วินัย มักง่าย รักสบาย รักสนุก อวดอ้างคนมีอำนาจ
แต่ยังดีอยู่ที่เป็นพวกชอบตามกระแส มีจิตแบ่งปัน มีจิตรวมหมู่ เห็นได้จากการสวมหน้ากากเมื่อออกสู่สถานที่สาธารณะกันแทบจะ 99%
นี่เองที่เป็นสาเหตุที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคขอสหรัฐฯ(Centers for Disease Control and Prevention - CDC)ประกาศสนับสนุนให้ประชาชนใช้อุปกรณ์ปิดบังใบหน้า เช่นหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าชนิดทำเอง ซึ่งตรงกันข้ามกับก่อนหน้านี้ที่บอกว่าไม่จำเป็นสำหรับคนไม่ติดเชื้อ
น่าจะเป็นด้วยสถิติคนป่วยและตายเพราะโควิด-19 ของคนไทยต่ำกระมัง
คงไม่รู้ว่า เหตุผลที่แท้จริงที่คนไทยสวมหน้ากากกันทั่วบ้านทั่วเมืองนั้นเป็น เพราะความกลัวเป็นสำคัญ
กลัวแรกคือกลัวฝุ่น PM 2.5 กลัวที่สอง คือกลัวไวรัส
และกลัวสุดท้ายคือกลัวสายตาผู้ใช้บริการสาธารณะร่วม
ลองไม่สวมหน้ากากไปขึ้นรถเมล์ดูสิ สายตาทุกคู่จะมองมาเป็นจุดเดียวกัน
กลายเป็นตัวประหลาด เป็นตัวน่ารังเกียจ เป็นตัวเชื้อโรค ดีไม่ดีกระเป๋าไล่ลง
นี่คือเหตุผลแท้จริงของมนุษย์หน้ากาก