สถาพร ศรีสัจจัง “สปิริต หรือ เจตนารมณ์ของสังคมนี้ คือธรรมะของธรรมชาติ ธรรมะของธรรมชาติที่เป็นมาโดยธรรมชาติ ซึ่งเราจะมองเห็นว่า นี้มันเป็นความมุ่งหมายทางสังคมนิยม แต่ว่าโดยไม่รู้สึกตัว มีหลักปฏิบัติซึ่งไม่รู้สึกตัวมาแต่ทีแรก จนกว่าจะรู้สึกตัวคือ การไม่เอาส่วนเกิน” และ “สังคมนิยมควรจะมีหลักสั้นๆตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติว่า ทุกคนอย่ากอบโกยส่วนเกิน พยายามเจียดส่วนเกินออกไปเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นให้ได้ แต่ไม่ได้ห้ามว่าอย่าผลิตส่วนเกิน ทุกคนมีสิทธิและสมควรอย่างยิ่งที่จะผลิตส่วนเกินขึ้นมา แต่ว่าส่วนเกินนั้นควรจะเพื่อประโยชน์แก่สังคม และก็ระวังให้ดีๆว่า ที่ว่าไม่เกินๆนั่นแหละ ก็ยังเกินยังเจียดได้” ข้อความอ้างอิงจั่วหัวทั้ง 2 ย่อหน้าที่ยกมานั้นเป็นอรรถถาธิบายเบื้องต้นเกี่ยวกับแก่นใจกลางของสิ่งที่ท่านพุทธทาสเสนอเรียกว่า “ระบบสังคมนิยม” ยกมาจากปาฐกถาชิ้นแรกเรื่อง “ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม” ที่ท่านบรรยายให้พุทธบริษัทที่มีกิจเกี่ยวแก่ “การสังคมสงเคราะห์ฝ่ายศาสนา” ซึ่งไปอาธนาขอฟังเทศน์ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2516 ที่สวนโมกขลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และท่านพุทธทาส ภิกขุได้สรุปให้เข้าใจเป็นเบื้องต้นว่าทำไมท่านจึงเลือกที่จะเทศน์เรื่องนี้ ไว้ในตอนหนึ่งของปาฐกถาว่า : “... (เพราะ)โลกทั้งโลกกำลังมีปัญหายุ่งยากลำบาก จะร้อนเป็นไฟอยู่นี้ เพราะสิ่งๆเดียว คือสิ่งที่เรียกว่า ส่วนเกิน...ส่วนเกินนี้คือข้าศึกของมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์ไม่มีสันติภาพ” ทีนี้ลองมาดูสิ่งที่บอกมาแต่ตอนแรกว่า ถ้า “นายกฯ” บิ้ก “ลุงตู่” ได้อ่านจับแก่นและทำตามแนวทาง “ธัมมิกสังคมนิยม” ที่ท่านพุทธทาสเสนอมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 โน่นแล้วก่อนจะทำรัฐประหารยึดเอาอำนาจรัฐไทยไปบริหารจากอดีตนายกฯสาวสวยศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ชื่อยิ่งลักษณ์(แห่งตระกูล)ชินวัตร เมื่อปี 2557 เมืองไทยและการเมืองไทยก็คงไม่ต้องตกอยู่ในวังวน “แล้วหญ้าแพรกก็แหลกลาญ” อย่างที่(น่ากำลังจะ) เกิดขึ้นอยู่กับสังคมไทย ณ เวลาเบื้องหน้าอันใกล้นี้ดอกท่าน! ในปาฐกถาเรื่อง “ธัมมิกสังคมนิยม” นี่เอง ที่ท่านพุทธทาส ภิกขุ ได้อธิบายถึงด้านที่เป็น “คุณ” ของสิ่งทีเรียกว่า “เผด็จการ” ไว้ให้บรรดาผู้มีสัมมาทิฎฐิเข้าใจ อย่างเช่น : “...อยากจะให้มองดูเลยไปถึงคำที่อาจถูกหาว่าบ้าๆบอๆอีกคำหนึ่งว่า ประชาธิปไตยเผด็จการ ที่จริงประชาธิปไตยเผด็จการเป็นคำที่ถูกต้องหรือไพเราะที่สุด แต่คนเขาเกลียดเสียงของคำว่า “เผด็จการ” เพราะเรากำลังเมาเสรีนิยม นั่นก็เพราะเข้าใจคำว่าเผด็จการผิดๆอยู่บางอย่าง คำว่า “เผด็จการ” นี้ขอให้แยกเป็น 2 ความหมาย ถ้าเป็นหลักปฏิบัติหรือเป็นอุดมคติ ในอุดมคติทางการเมืองนี้มันก็ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเพียงวิธีปฏิบัติงานดำเนินงานเท่านี้จะใช้ได้ คือมันทำให้เร็วกว่า... ......................... ถ้าไล่มาดูก็จะเห็นว่า ประชาธิปไตยพื้นฐานพร่าเหลือเกิน ประชาธิปไตยเสรีนิยมก็มีช่องโหว่มากเหลือเกิน ประชาธิปไตยสังคมนิยมค่อยยังชั่วหน่อย แต่ก็จะต้องเป็นธัมมิก ทีนี้ธัมมิก เข้าไม่ทันใจ ก็จะต้องใช้วิธีดำเนินการอย่างเผด็จการ ถ้าเผด็จการอย่างทรราชย์หรืออะไรนั้นก็เรียกว่าใช้ไม่ได้ ถ้าเผด็จการเป็นวิธีดำเนินการที่ประกอบด้วยธรรมะแล้วก็ใช้ได้เต็มที่” เท่าที่เคยฟังท่านนายกฯบิ้กลุงตู่พูด เจตนาของการยึดอำนาจขึ้นมาเป็น “เผด็จการ” เมื่อครั้งกระโน้น(ยังถูกเรียกต่อมาจนถึงบัดนี้)ก็ดูเหมือนเพราะเห็นว่า “ประชาธิปไตยเสรีนิยมมีช่องโหว่มากเหลือเกิน” เหมือนอย่างที่ท่านพุทธทาสเคยนำเสนอความเห็นไว้ตั้งแต่เมื่อปีมะโว้โน่นหรือเปล่า? แล้วได้ “แก้ปัญหา” หรือได้ทำอะไรให้ “รวดเร็วเบ็ดเสร็จ” บ้างหรือเปล่า? เพราะที่เห็นก็คล้ายบางใครเขาว่า คือล้วนแล้วแต่เป็นอีหรอบเดิม คือเน้นอยู่เพียงเรื่อง “ของกูและพวกกู”! ที่เห็นชัดๆก็มีเพียงได้ใช้สิ่งที่เรียกว่า “อำนาจเผด็จการ” ดังว่า ทำให้คนไทย “ชะลอ” การ “ฆ่ากันเอง” ลงได้ชั่วครั้งชั่วคราวแค่นั้นละกระมัง! แล้วตอนนี้ที่บางใครเขาจนตรอก(ไม่ว่าเพราะทำตัวเอง เพราะอ่อนหัด หรือเพราะถูกกระทำจาก “พวก” ของใครก็เถอะ!)จะนำคน “ลงถนน” เพื่อ “ชนหัวตรง” กับอำนาจรัฐไทยที่อยู่ในมือของ “บิ้กลุงตู่” และพวก(ชาวบ้านให้มาจากการเลือกตั้ง?)ซึ่งสิ่งที่จะเกิดตามมาแต่ๆก็คือ ผลที่เกิดจากเหตุนั้นจะต้องมี “เลือด” ตามที่บางใคร “ระบุ” ไว้ก่อนแล้วอย่างแน่นอน! ทีนี้จะทำอย่างไรละ?ใช้คำว่า “กฎหมาย” เป็นสูตรสำเร็จในการแก้อีกรึ?แล้วยุคนี้มีกฎหมายของสังคมอารยะที่ไหนบ้างละ? ที่ยอมให้ผู้ปกครองสามารถสั่งฆ่าคนได้! จึงถ้าเป็นไปได้ ก็อยากขอให้ “นายกฯบิ้กลุงตู่” ช่วยนำร่องบรรดานักการเมืองนักปกครองทั้งหลายไปหาหนังสือ “ธัมมิกสังคมนิยม” ของท่านพุทธทาส มหาเถระ มาอ่านมายึดเป็นสรณะบ้างเถอะขอรับ สาธุ!!!