เสือตัวที่ 6
ท่ามกลางความสงบเงียบในพื้นที่ปลายด้ามขวานที่ห่างหายจากสถานการณ์การก่อการร้ายในพื้นที่ จนทำให้เกิด มโนทัศน์ ความสำเร็จในการต่อสู้ของรัฐ หากแต่ในความสงบเงียบจากสถานการณ์ร้าย ๆ ในห้วงนี้ได้แอบซ่อนการต่อสู้ทางการเมืองทั้งในประเทศที่สร้างเงื่อนไขความเท่าเทียมของพรรคการเมืองระดับชาติที่ปลุกกระแสคะแนนนิยม ผ่านประเด็นสิทธิมนุษยชน ผลประโยชน์ของคนในพื้นที่ท้องถิ่น ตลอดจนเสรีภาพในการดำเนินชีวิต รวมทั้งสร้างกระแสความขัดแย้งในวิถีอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และภาษาท้องถิ่น ที่กำลังสร้างวาทกรรมความขัดแย้งในประเด็นดังกล่าวให้มวลชนเห็นต่างกับรัฐและโน้มนำความคิดให้มวลชนร่วมกับขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐในท้ายที่สุด ด้วยวาทกรรมรัฐเอกราชปาตานีคือเป้าหมายปลายทางที่บรรดากลุ่มคนที่เป็นปรปักษ์กับรัฐซึ่งมีด้วยกันหลายกลุ่มในขณะนี้นั้น แม้กลุ่มก่อการร้ายจะมีแนวทางการต่อสู้เพื่อเป้าหมายเอกราชดังกล่าวที่แตกต่างกัน หากแต่พวกเขาเหล่านั้นล้วน แยกกันเดิน ร่วมกันตี สู่เป้าหมายเอกราชในการปกครองกันเองเฉกเช่นเดียวกัน
การเดินเกมต่อสู้กับรัฐของกลุ่มขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (Barisan Revolusi Nasional Melayu Patani : BRN) โดยกลุ่มนี้มีพัฒนาการการต่อสู้ของกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง BRN เป็นกลุ่มเดียวในขณะนี้ที่มีกองกำลังติดอาวุธที่ทรงศักยภาพการต่อสู้ด้วยอาวุธกับรัฐ กำลังช่วงชิงอำนาจรัฐด้วยการปลุกระดมแนวความคิด สร้างอุดมการณ์การต่อสู้ เพื่อขยายฐานมวลชนแนวร่วมกับขบวนการอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องมายาวนาน ควบคู่กับการใช้กำลังอาวุธต่อสู้กับรัฐอันทรงประสิทธิภาพในการก่อการร้ายและการรบแบบกองโจร เพื่อสร้างเขตปลดปล่อยอำนาจรัฐและมุ่งให้เป็นเขตอิทธิพลในการปกครองกันเองของขบวนการอย่างสมบูรณ์ โดยสร้าง มโนทัศน์ ความขัดแย้งบนเงื่อนไขของการถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐ การไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปกครองของรัฐ การกดทับทางวัฒนธรรมมลายู การรุกรานทางประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ การบังคับให้ใช้ภาษาไทย หรือการจำกัดสิทธิเสรีภาพของคนในพื้นที่ อันเป็นการสร้าง มโนภาพลวงตา ให้โน้มนำไปสู่การทำสงคราม ญิฮาด หรือการต่อสู้เพื่อศาสนาอิสลาม และนั่นกำลังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ฝ่ายรัฐยังแก้ไม่ตก แม้จะพยายามสื่อสารความเข้าใจให้มวลชนเห็นว่าไม่มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพใด ๆ จากรัฐ ในทางตรงข้าม รัฐได้ให้สิทธิในการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเต็มที่ รัฐได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาและส่งเสริมการดำเนินวิถีชีวิตตามหลักศาสนาอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งการศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนทางศาสนาทั้งโรงเรียนตาดีกา โรงเรียนปอเนาะ อันเป็นสถาบันสอนศาสนาอิสลามแบบกินนอนในพื้นที่มลายู (สามจังหวัดชายแดนภาคใต้) เน้นสอนอัลกุรอาน หลักการอิสลามโดยเฉพาะ โดยมีโต๊ะครูเป็นผู้สอน ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายในกระท่อม (Pondok) มีลักษณะเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามอย่างเดียว และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ที่ทั้งหมดนั้นรัฐให้การสนับสนุนงบประมาณรายหัวอย่าง เต็มที่
นอกเหนือ จากนั้น ขบวนการก่อการร้ายเพื่อยื้อแย่งอำนาจการปกครองจากรัฐในพื้นที่ปลายด้ามขวานยังมีกลุ่มขบวนการดั้งเดิมอีกกลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่าองค์การปลดปล่อยสหปัตตานี (Patani United Liberation Organization : PULO) เป็นขบวนการเรียกร้องเอกราชของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ปลายด้ามขวาน โดยในปัจจุบันเน้นการต่อสู้กับรัฐด้วยการขับเคลื่อนการต่อสู้ทางความคิดและเรียกร้องการสนับสนุนจากประชาคมโลกอย่างเป็นระบบ เพื่อการให้อิสระในการปกครองกันเองของคนพื้นถิ่นปาตานีอย่างจริงจัง และล่าสุด กลุ่มขบวนการ PULO ได้ประสบความสำเร็จในการช่วงชิงการนำการต่อสู้กับรัฐในเวทีระดับโลกด้วยการที่นาย กัสตูรี มะห์โกตา (Kasturi Mahkota) ประธานองค์การปลดปล่อยสหปาตานี (PULO) ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยประเด็นชนกลุ่มน้อย สมัยที่ 18 (18th Session of the UN Forum on Minority Issues) ณ สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ (Palais des Nations) นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 27–28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ในการประชุมระดับโลกครั้งนี้ นาย กัสตูรี ได้ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในหัวข้อ The Cry from Patani – เสียงร่ำไห้จากปาตานี โดยระบุว่าตนมาในนามตัวแทนของชนกลุ่มน้อยมลายูมุสลิมในภาคใต้ของไทย เพื่อสะท้อนปัญหาที่มักถูกมองข้ามในเวทีระหว่างประเทศ โดยสาระสำคัญของถ้อยแถลงดังกล่าว ระบุถึงวาระครบรอบ 240 ปี นับตั้งแต่รัฐปาตานีสูญเสียอธิปไตยให้กับรัฐสยามซึ่งนำไปสู่การที่คนมลายูในพื้นที่ถูกรัฐไทยจำกัดสิทธิทางภาษามลายู อัตลักษณ์ชาวมลายู และเสรีภาพในการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาอิสลาม โดยได้กล่าวเท็จถึงประเด็นปัญหาสำคัญที่ มโนภาพ ว่ายังคงเกิดขึ้นในพื้นที่ อาทิ การกดทับการใช้ภาษามลายูปาตานีในระบบการศึกษา การล้มล้างประวัติศาสตร์ปาตานีที่แท้จริง การใช้กฎหมายความมั่นคงที่กระทบต่อสิทธิพลเมืองอย่างไม่เป็นธรรม รวมถึงปัญหาการบังคับสูญหายและการจับกุมคุมขังอย่างไม่เป็นธรรม โดยอ้างบิดเบือนว่าพี่น้องในพื้นที่ปลายด้ามขวานแห่งนี้เป็นชนกลุ่มน้อยที่กำลังถูกรัฐไทยกดขี่ข่มเหง โดยนาย กัสตูรี ประธาน PULO ยังได้ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ประการ ต่อที่ประชุมระดับโลกว่า 1.ให้ยอมรับว่าปาตานีเป็นประเด็นเรื่องการคุ้มครองชนกลุ่มน้อย 2.สนับสนุนกระบวนการสันติภาพที่โปร่งใสและเปิดกว้างให้ทุกเสียงของชาวปาตานีมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม 3.ผลักดันให้รัฐบาลไทยปรับนโยบายให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล โดยเฉพาะสิทธิทางวัฒนธรรม
การเดินเกมต่อสู้ในเวทีระหว่างประเทศในประเด็นเรียกร้องดังกล่าวเหล่านั้น ล้วนเป็นการกล่าวอ้างที่ล้าหลังและเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง ด้วยในปัจจุบันรัฐไทยได้ให้สิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกับพี่น้องในพื้นที่อย่างเสมอภาคเฉกเช่นประชาชนไทยทุกประการ การยอมรับอัตลักษณ์ประจำถิ่นของชาวมลายูในพื้นที่ผ่านนโยบายพหุวัฒนธรรม การเปิดให้มีโรงเรียนสอนศาสนาอย่างเต็มที่ รวมทั้งการยอมรับในวิถีมุสลิมอย่างเสรี ตลอดจนการสนับสนุนการพูดคุยสันติภาพอย่างโปร่งใสและเปิดกว้างตลอดมา การสนับสนุนชาวมลายูมุสลิมเป็นผู้นำองค์กรปกครองของรัฐอย่างเท่าเทียม เหล่านี้ล้วนบ่งบอกว่าผู้นำ PULO ยังคงมีแนวคิดที่ล้าหลัง นำพาผู้คนในพื้นที่และประชาคมโลกให้มี มโนทัศน์ ผิด ๆ เป็นแนวคิดแห่ง มโนทัศน์ ความขัดแย้งที่ตกยุคไปแล้วโดยสิ้นเชิง








