เส้นแบ่งความคิด

สัมมาอาชีวะ-อาชีวปฏิญาณ (จบ)

แชร์ข่าว

สถาพร ศรีสัจจัง

ประเทศไทยใช้เวลา “พัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย” (ตามต้นแบบอเมริกัน) จากปี พ.ศ. 2504 ที่เริ่มประกาศใช้ “แผนพัฒนาฯ ระยะที่ 1 (6 ปี)” จนถึงปัจจุบัน รวมเวลาทั้งสิ้น 67 ปี (กำลังจะเต็ม) โดยปัจจุบันกำลังอยู่ในแผนพัฒนาฯ ระยะที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570)
และกำลังเห็นภาพชัดว่าแผนพัฒนาดังกล่าวกำลังส่งผลก่อให้เกิดภาวะวิกฤติแทบจะทุกด้านขึ้นในสังคมไทย!

ทั้งระบบการเมืองการปกครอง ที่ชนชั้นปกครอง (ในระบบรัฐสภา) ถูกตราหน้าแทบจะทั้งระบบว่าเต็มไปด้วยคนที่มีความฉ้อฉลเน่าเหม็น คอร์รัปชัน และ “สามานย์”
ทั้งระบบเศรษฐกิจ ที่ก่อเกิดความเหลื่อมล้ำ เกิดทุนผูกขาด ก่อหนี้สินประชาชาติและหนี้สินครัวเรือนแบบน่าตระหนก!

เฉพาะที่เกี่ยวกับหนี้สินครัวเรือน (คือหนี้ของประชาชนคนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยของประเทศ) นั้นพบว่า ในปี 2025 ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้มีหนี้สินครัวเรือนมากเป็นอันดับ 7 ของโลก อันดับ 2 ของเอเชีย และอันดับ 1 ในอาเซียน!

“เทรดดิ้ง อีโคโนมิคส์” ที่เป็นบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจวิจัยและที่ปรึกษาด้านการลงทุนชื่อดัง เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2025 ประเทศไทยมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนเทียบกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีไทย อยู่ที่ 88.2%

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติประเทศไทยพบว่า ภาวะหนี้สินครัวเรือนของประเทศไทยในเดือนมิถุนายน 2025 มีดังนี้
หนี้สินอันดับ 1 คือหนี้สินเกี่ยวกับการบริโภค คิดเป็น 47.6%
อันดับ 2 หนี้จากการซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ คิดเป็น 34.7%
อันดับ 3 หนี้ภาคเกษตรกรรม คิดเป็น 16.7%
อันดับ 4 หนี้การลงทุนภาคธุรกิจ คิดเป็น 7.4%
และอันดับ 5 หนี้ภาคการศึกษา คิดเป็น 1.4%!

เห็นรายละเอียดการเป็นหนี้ของคนในสังคมไทยวันนี้ (หลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมา 13 แผน/68 ปี) แล้วน่าตกใจไหม?

จะให้ข้อมูลที่น่าตกใจเป็นของแถมอีกสักชุดหนึ่ง (จะเป็นไรไป) ดังนี้:
จากข้อมูลการวิจัยของ Credit Suisse Global Wealth Data Book พบว่า ประชากรที่รวยที่สุดร้อยละ 10 ของไทยถือครองทรัพย์สินมากกว่าร้อยละ 77 ของคนทั้งประเทศ และประชากรที่รวยที่สุดร้อยละ 1 มีความมั่งคั่งเฉลี่ย 33 ล้านบาทต่อคน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรที่จนที่สุดร้อยละ 20 ถึง 2,500 เท่า

พอจะมองเห็นสิ่งที่เรียกว่า “ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ” ในรอบ 68 ปี ที่เกิดจาก “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ภายใต้การชี้นำอย่างทรงพลังของมหามิตรที่ชื่อ ‘อเมริกา’ บ้างไหม?

นักวิเคราะห์สังคมสมัยใหม่ของไทยบางคนสรุปว่า ลักษณะเด่นของผู้คนชนชั้นนำทางสังคม ที่เป็น “กลุ่มคนรวย” ไม่เกินร้อยละ 10 (ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา) ของสังคมไทยปัจจุบันดังที่ได้กล่าวมาแต่ต้นเหล่านั้น (คือ ‘กลุ่มนักการเมือง’ ‘กลุ่มข้าราชการชั้นสูง’ และ ‘กลุ่มนายทุน’) ส่วนใหญ่มีชีวิตเต็มไปด้วยลักษณะเป็น “มิจฉาชีพ” คือประกอบอาชีพแบบไม่เป็น “สัมมาชีพ” และไม่มี “อาชีวปฏิญาณ” ตามเกณฑ์ของหลักศาสนาพุทธ ที่ห่มคลุมสังคมไทยมาอย่างยาวนาน! (คือใช้ชีวิตแบบผิดหลักศีลธรรม)

ที่ว่าไม่มี “อาชีวปฏิญาณ” ก็คือไม่ประกอบอาชีพนั้นให้สุจริตตามหลักการ เช่น โกหกหลอกลวง เบียดเบียนทั้งตัวเองและผู้อื่น ในทางพระพุทธศาสนาสรุปไว้ว่า ผู้ประกอบ “มิจฉาอาชีวะ” (การเลี้ยงชีพผิด) เช่นนี้ ถือเป็นคน “ทำชั่ว” จะต้องได้รับผลกรรมแห่งความชั่วนั้น ดังพุทธภาษิตที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” (กลฺยาณการี กลฺยานํ ปาปการี จ ปาปกํ) นั่นเอง

และท่านว่า คนพวกนี้ ได้แก่ พวกลอกลวงต้มตุ๋นมนุษย์/พวกค้ามนุษย์ (สัตตวณิชชา) คือเห็นคนเป็นเพียงสินค้าหรือสิ่งของ ทำให้เกิดการกดขี่ข่มเหง / พวกค้าอาวุธ (สัตถวณิชชา) คือส่งเสริมความรุนแรงและการฆ่าฟัน / พวกค้าของเมา (มัชชวณิชชา) คือพวกที่ส่งเสริมให้คนขาดสติ ส่งเสริมให้คนทำบาปได้ง่ายขึ้น / และพวกค้ายาพิษ (วิสวณิชชา) คือทำให้เกิดการเบียดเบียนผู้อื่น
เหล่านี้จะต้องตกนรก!

ช่วยคิดตีความกันเอาเองก็แล้วกันว่าคำ “นรก” นั้นหมายถึงอะไร หรือคืออะไร?

ส่วนเรื่องการประกอบอาชีพที่เป็นกิจการสุดฮิต (เพราะทำเงินมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว) ของ “นักธุรกิจ-การเมือง” ไทยปัจจุบัน (ดังที่ประจักษ์กันอยู่โต้งๆ แต่ไม่ค่อยมีใครทำอะไรพวกเขาและเครือข่ายได้มากนัก) คือการทำธุรกิจมิจฉาชีพหลอกลวงต้มตุ๋นคน ที่เรียกกันตามคำฝรั่งว่า “สแกมเมอร์” (Scammer) หรือ “การพนันออนไลน์” (iGaming, iGambling) นั้น ถ้าคิดในแง่ชาวพุทธที่แท้ ก็ย่อมต้องเป็น “มิจฉาอาชีวะ” อย่างแน่นอน แต่จะมีขุมนรกที่ลึกพอให้ตกหรือไม่นั้น คงต้องให้นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยบางคนช่วยตอบละมั้ง!!!