สถาพร ศรีสัจจัง
ปีนี้เป็นปีที่ 65 ของสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่อดีต “ท่านผู้นำ” ซึ่งหลายเสียงยกตำแหน่ง “ต้นแบบเผด็จการ” ให้ (อย่างเหมาะสมกับเกียรติภูมิเผด็จการของแท้) คือ “หัวหน้าคณะปฏิวัติ” นาม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ไปรับ “สมาทาน” รูปแบบการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยการเปิดประเทศอย่างโล่งโจ้งล่อนจ้อนให้อิทธิพลของประเทศนั้นเข้ามามีบทบาท “เหนือ” ระบบที่เป็น “โครงสร้าง” ที่สำคัญๆ ของสังคมไทย
ตั้งแต่ระบบเศรษฐกิจ (รูปแบบความสัมพันธ์ทางการผลิตในสังคม) ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าเป็น “โครงสร้างชั้นล่าง” หรือ “โครงสร้างฐานราก” (Base Structure) ของสังคมหนึ่งๆ จนถึง “ระบบวัฒนธรรม” (Super Structure) ที่ติดมากับระบบดังกล่าว
ระบบวัฒนธรรมที่สำคัญมากๆ ได้แก่ ระบบการเมือง (เรียกว่า “ระบบประชาธิปไตย” หรือ “Democracy”) ระบบการศึกษา และ ระบบการสื่อสารมวลชน เป็นต้น
ด้วยเหตุปัจจัยในเรื่อง “พื้นที่และเวลา” ของเงื่อนไขทั้งจากสังคมภายนอก (คือสังคมโลก) และเงื่อนไขภายใน (ของสังคมไทย) ในช่วงยามนั้น ได้ก่อให้ระบบการพัฒนาประเทศที่ชนชั้นนำไทยช่วงต้นทศวรรษ 2500 นำมา “สวมครอบ” แบบ “ไม่เลือกแก่นทิ้งกาก” ส่งผลทั้งด้านบวกและด้านลบต่อสังคมในเวลาต่อมา (60 ปีต่อมา) อย่างรวดเร็วและรุนแรงยิ่ง!
ในความเป็นจริง “การพัฒนาประเทศ” เพื่ออนุวัติสังคมไทยตามกระแสโลกตะวันตก เริ่มเกิดมาแล้วตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมของบรรดาชาติจักรวรรดินิยมตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และโปรตุเกส เป็นต้น ที่เห็นชัดๆ ก็คือ น่าจะเริ่มมาตั้งแต่การลงนามใน สนธิสัญญาเบาว์ริง กับอังกฤษในรัชสมัย ล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1)
และมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นหลังการเสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ของ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5
ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงจัดให้มีการ “ปฏิรูป” ประเทศด้านสำคัญๆ ในหลายด้านด้วยกัน ทั้งด้านระบบการเมือง ระบบการศึกษา ระบบกฎหมาย และ ระบบการคมนาคม เป็นต้น
ต่อเนื่องสืบมาจนถึงยุค ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 และ 7
ก่อนที่จะเกิดการ “อภิวัฒน์ 2475” โดย “คณะราษฎร” ซึ่งมีกลุ่มนำทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนล้วนเป็นพวก “นักเรียนหัวนอก” ที่ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษามาจากยุโรป การอภิวัฒน์ครั้งนี้เปลี่ยนแปลง “รูปแบบ” (ชื่อ) ระบบการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ระบบประชาธิปไตย” อย่างที่หนังสือเรียนพยายามบอกเราอย่างที่รู้ๆ กัน
หลังจากกลุ่มนำของ “คณะราษฎร” (ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน) เข้า “รับทำ (บริหารรัฐสยาม) ต่อไป” (คำของ สอ เสถบุตร ที่แปลจากคำ “Take over” ในภาษาอังกฤษ) ภายใต้ความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจกันเองของพวกเขา (โดยการรัฐประหาร) อยู่ประมาณ 25 ปี
หลังจากนักศึกษาประท้วงรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนักขึ้น ในคืนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ผบ.ทบ. ขณะนั้น) ก็นำกำลังทหารเข้าทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลได้สำเร็จ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนีไปตายที่ญี่ปุ่น และ จอมพลสฤษดิ์ฯ ในฐานะ “ขวัญใจประชาชน” (ยามนั้น) ก็เข้าครอบครองอำนาจในการบริหารรัฐแทน (ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติ) โดยการตั้งให้นาย พจน์ สารสิน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไป จนได้ลูกน้องคนสนิทคู่ใจของเขาเอง คือ พล.ท. ถนอม กิตติขจร (ยศขณะนั้น) ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (หุ่น) จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2501 จอมพลสฤษดิ์ ที่อ้างว่าไปรักษาสุขภาพตัวเองที่สหรัฐอเมริกา ก็บินกลับไทย กลับมาร่วมมือกับ “ลูกน้องคนสนิท” คนเดิม คือ พล.ท. ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ก่อการ “รัฐประหารตัวเอง” เพื่อส่งเจ้าของอำนาจตัวจริงคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เริ่มต้นโดยประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ในขณะนั้น และใช้ “ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502” เป็นเครื่องมือในการปกครองประเทศแทน
วงการนักกฎหมายและรัฐศาสตร์ไทยมักถือว่า “ธรรมนูญฯ” ฉบับนี้ควรถือเป็น “รัฐธรรมนูญ” ฉบับที่ 7 ของประเทศไทย เพราะแม้จะเป็นเพียง “ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร” (ซึ่งควรจะเป็นเรื่องชั่วคราว) แต่กลับมีการใช้งานยาวนานถึง 9 ปี 4 เดือน 23 วัน
นับว่ายาวนานกว่ารัฐธรรมนูญหลายฉบับ!
“ธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร” ฉบับนี้สั้นกระชับมาก คือมีเพียง 20 มาตรา ที่สำคัญมากก็คือ มาตรา 17 บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจพิเศษได้ กล่าวคือ จะสั่งการหรือดำเนินการในเรื่องใดก็ได้ “เพื่อประโยชน์ในการระงับและปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร”!
และโดยมาตรานี้เองที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ใช้ประหารชีวิตคนโดยไม่ผ่านกระบวนการศาลสถิตยุติธรรมเป็นจำนวนหลายรายด้วยกัน!
แล้ว “ระบบเศรษฐกิจระบบทุนนิยม” (ระบบเงินนิยม) ที่แตกหน่ออ่อนอยู่ในสังคมไทยบ้างแล้ว ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นอย่างมั่นคงในประเทศไทยในนามของ “การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย” (Modernization)
โดยการจัดทำแผนงานดังกล่าวอย่างรีบเร่ง ภายใต้การแนะนำอย่างใกล้ชิดของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่ “ท่านผู้นำ” เชื้อเชิญตรงมาจาก “อเมริกามหามิตร” ที่ตนเพิ่งกลับมาจาก “การรักษาตัว”
และแล้วในปีพุทธศักราช 2504 “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” ระยะที่ 1 (ยังไม่มีคำว่า และสังคม) ก็ได้รับการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ (กินเวลามากกว่าทุกแผนในระยะหลัง) โดยใช้ระหว่าง พ.ศ. 2504 ถึง พ.ศ. 2509!!








