สถาพร ศรีสัจจัง
“สัมมาอาชีวะ” เป็น 1 ใน 8 ของหลักการบรรลุธรรมที่เรียกว่า “อริยมรรคมีองค์ 8” ของพระพุทธศาสนา นิยามความหมายของคำ “สัมมาอาชีวะ” สำหรับ “ฆราวาส” (คนปกติทั่วไปที่ไม่ใช่บรรพชิตหรือนักบวชในพระพุทธศาสนา) ตามทัศนะเชิงพุทธ (ตีความตามพุทธบัญญัติอย่างสรุป) หมายถึง “การหาเลี้ยงชีพชอบ” คือละเว้นจากการประกอบ “มิจฉาอาชีวะ” หรือ การหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีที่ไม่ชอบด้วยพุทธบัญญัติ
“มิจฉาอาชีวะ” ที่สำคัญได้แก่ การประกอบอาชีพการงาน โดยการฉ้อโกงหรือหลอกลวง โดยการประจบสอพลอ โดยการทำลายเพื่อนร่วมงาน โดยการบีบบังคับขู่เข็ญ โดยการต่อลาภด้วยลาภ โดยการแสวงหาลาภโดยไม่ประกอบด้วยความเพียร (สัมมาวายามะ) เป็นต้น
“การแสวงหาลาภโดยไม่ประกอบด้วยความเพียร” หรือ “สัมมาวายามะ” นี้ ผู้รู้ยุคปัจจุบันอธิบายว่า คือ ขี้เกียจ อยากได้มาง่าย ๆ โดยไม่อาศัยกำลังสติปัญญาและแรงกาย ซ้ำมักโลภจนไม่ชอบธรรม เช่น เบียดเบียนลูกจ้าง ทำลายสิ่งแวดล้อมและสังคม ด้วยความอยากได้มากและเสียให้น้อย ฯลฯ
และสรุปต่อไปอีกว่า รวมถึงการไม่ประกอบ “มิจฉาอาชีวะ” 5 ประเภท คือ
1.สัตถวณิชชา ได้แก่ การขายอาวุธทุกชนิด (เครื่องมือที่ใช้ทำร้ายชีวิตอื่น) เพราะจะทำให้ไม่เกิดสันติสุข
2.สัตตวณิชชา หมายถึง การค้ามนุษย์ เช่น ค้าเด็ก ผู้หญิง หรือค้าทาส ตลอดถึงการกดขี่แรงงาน การใช้แรงงานเด็กและผู้หญิงอย่างทารุณ ทั้งนี้รวมไปถึงการขายบริการทางเพศทุกชนิด ทั้งของตัวเองและจัดการให้ผู้อื่นขาย
3.มังสวณิชชา หมายถึง การค้าขายสัตว์มีชีวิต สำหรับนำไปฆ่าเพื่อใช้เป็นอาหาร ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ผิดศีลข้อ 1 คือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
4.มัชชวณิชชา หมายถึง การค้าขายสิ่งมึนเมา ตลอดจนสารเสพติดทุกชนิด รวมถึงการมีไว้เพื่อเสพเอง
5.วิสวณิชชา หมายถึง การค้าขายสิ่งเป็นพิษ ที่มีอันตรายต่อผู้ใช้ ต่อชีวิตของมนุษย์และสัตว์ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
คู่กับคำ “สัมมาอาชีวะ” ที่ตรงข้ามกับคำ “มิจฉาอาชีวะ” ก็คือคำว่า “อาชีวปฏิญาณ” ในอดีต สังคมไทยค่อนข้างให้ความสำคัญกับคำนี้มาก กล่าวคือ คนทำงานทุกคนทุกอาชีพ ต้องรู้เป็นเบื้องต้นว่า “อาชีวปฏิญาณ” ในอาชีพของตัวคืออะไรและอย่างไรบ้าง
หลายอาชีพมีการบัญญัติข้อพึงปฏิบัติและข้อ “ต้องไม่ปฏิบัติ” ไว้อย่างชัดเจน
โดยสรุปคำ “อาชีวปฏิญาณ” มีความหมายประมาณว่า คือ การปฏิญาณตนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือกฎหมายใด ๆ ว่าจะประกอบอาชีพตามจรรยาบรรณหรือธรรมเนียมที่วางไว้เป็นแบบอย่างหรือเป็นกฎ โดยไม่จำกัดอยู่แต่เพียงเรื่องการทำมาหากินเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงการยึดมั่นในจริยธรรม ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์ในการรับใช้สังคม
ที่แน่นอนและสำคัญยิ่งประการหนึ่งก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “สัมมาอาชีวะ” ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในอดีตนั้น เกิดควบคู่มากับคตินิยมที่เนื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธโดยตรง ดังที่ได้กล่าวมาแต่ต้นแล้วว่า “สัมมาอาชีวะ” นั้นเป็น 1 ใน 8 ของหลัก “อริยมรรคมีองค์ 8” ซึ่งเป็น “หลักรากฐานสำคัญในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธ”
องค์ประกอบทั้ง 8 ประการของอริยมรรค คือ การเห็นชอบ การดำริชอบ การเจรจาชอบ การประพฤติชอบ การเลี้ยงชีพชอบ (สัมมาอาชีวะ) การเพียรชอบ การตั้งสติชอบ และการตั้งมั่นชอบ
นักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับพุทธศาสนาในสังคมไทยจำนวนมากสรุปว่า พระพุทธศาสนานั้นเข้าสู่สังคมไทยและก่อบทบาทด้านคติความเชื่อขึ้นอย่างกว้างขวาง (โดยหลอมรวมผสมผสานกับคตินิยมดั้งเดิม เช่น ความเชื่อผี และคตินิยมของลัทธิพราหมณ์ เป็นต้น)
จนกลายเป็นเหมือนหลักคุณธรรม-จริยธรรมที่คุ้มครองสังคมไทยมาโดยตลอด
อย่างน้อยก็ตั้งแต่ยุคสมัยทวารวดี ที่ประเทศไทยปัจจุบันยังเป็นส่วนหนึ่งของ “แหลมสุวรรณภูมิ” อยู่
คือตั้งแต่กว่า 2000 ปีที่แล้ว โดยประมาณว่า น่าจะหลัง พ.ศ. 236 สมัยที่พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดียส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ที่นักประวัติศาสตร์เรียกกันว่า “สุวรรณภูมิ”
ที่สันนิษฐานน่าจะเป็นชื่อเรียกของดินแดนรวม 7 ประเทศในปัจจุบัน คือ ไทย พม่า ศรีลังกา เวียดนาม กัมพูชา ลาว และมาเลเซีย
จนถึงวันนี้ สังคมไทยเรายังมี “วัด” ซึ่งโดยหลักการแล้วคือ “สถานที่เผยแผ่ธรรมะขององค์พระศาสดาคือพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น” อยู่อย่างมากมาย ใหญ่โตโอ่โถง สวยงาม และมักจะ “มั่งคั่ง”
ตัวเลขจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติล่าสุด ณ วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2568 บอกเราว่า ปัจจุบันเรามีวัดในพระพุทธศาสนาจำนวนทั้งสิ้นรวมถึง 44,195 วัด!
แล้วคำสอนสำคัญเพื่อชีวิตและสังคมเรื่อง “สัมมาอาชีวะ” ที่เคยคุ้มครองให้คนในสังคมไทยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขตามอัตภาพเล่า? กำลังตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นใด และมีภาวะรูปธรรมในสังคมไทยให้เห็นอย่างไรกันบ้าง?!!








