ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
กลับมาสู่การวิเคราะห์พรรคการเมืองต่างๆใน EP ที่ 3 ครับ
หนึ่งในพรรคการเมืองที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ในการวิเคราะห์การเมืองไทย คงหนีไม่พ้น “พรรคประชาธิปัตย์” ด้วยความเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในการเมืองไทย ผ่านร้อนผ่านหนาวอยู่ในวังวนการเมืองไทยมาโดยตลอดและเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญของการจัดตั้งรัฐบาลเรื่อยมา รวมไปจนถึงการที่มักอยู่ท่ามกลางกระแสและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางของประชาชน
ช่วงที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์พบกับความท้าทายและอุปสรรคไม่น้อย ทั้งการที่ตกจากบัลลังก์ของพรรค “อนุรักษ์นิยม” โดยเสียมงกุฎให้กับพรรคเฉพาะกิจที่มาใหม่อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ ไปจนถึงปัญหาคนไหลออกอย่างต่อเนื่องจนแทบจะไม่เหลือใคร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ทั้งๆที่พรรคนี้เป็นพรรคแรกๆที่ริเริ่มการพัฒนานักการเมืองรุ่นใหม่ เรียกว่ามาก่อนกาลไม่น้อยเลยที่เดียว แต่กลับมีเลือกไหล (ทะลัก) ออกอย่างน่าเสียดาย จนได้คนทั่วไปเค้าแซวกันว่า “ประชาธิปัตย์ผลิต พรรคอื่น (เอาไป) ใช้”
วันนี้ได้หัวหน้าพรรคคนเก่าที่กลับมาใหม่ ทำให้บรรยากาศดูคึกคักขึ้นอย่างมาก ได้รับความสนใจจากสื่อและคนไทยไม่น้อย จนเชื่อว่ากองเชียร์พรรคสีฟ้าอาจรู้สึกมีความหวังมากขึ้นในครั้งนี้
จุดเด่นของประชาธิปัตย์ คือนโยบายที่บรรจงสร้างขึ้นจากปัญญาชน คนเก่งๆ ผ่านมุมมองทางวิชาการ เป็นจุดเด่นที่หลายๆพรรคไม่มี แต่ก็ต้องบอกว่า กลายเป็นจุดอ่อนของพรรคไปด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะนโยบายที่บรรจงสร้างโดยนักวิชาการเช่นนี้มักมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร พูดง่ายๆคือ “คนฟังฟังไม่รู้เรื่อง” โดยเฉพาะกับคนหมู่มากของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมานโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ก็เข้าข่ายเช่นนี้ ทำให้แพ้ “กระแส” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดของการลงคะแนนในยุคปัจจุบัน
วันนี้ประชาธิปัตย์ จำเป็นต้องชัดเจนกับตัวเองให้ได้เสียก่อน ว่าพรรคต้องการอะไร?
จะชัดเจนได้ ต้องเข้าใจว่าตัวเองอยู่จุดไหน แบบไม่หลอกตัวเอง...ดังนั้น วันนี้ก็ต้องเปิดใจยอมรับว่า ถ้าเปรียบเป็นทีมบอล ก็ต้องบอกว่าอยู่ท้ายๆตาราง ไม่ใช่หัวตารางเหมือนก่อน
ดังนั้น ถ้าต้องการจะชนะเลือกตั้งงวดนี้คงต้องบอกว่ายาก ด้วยกระแสการเมืองใหม่ ด้วยตัวละครใหม่ๆ และด้วยพลังของพรรคเองที่ถดถอยไปไม่น้อย แต่ถ้าบอกว่า ต้องการ “ฟื้นพรรคขึ้นมาใหม่” อันนี้เป็นไปได้ แต่เป้าหมายและวิธีการก็จะต้องแตกต่างกับการเอาชนะเลือกตั้ง ที่สำคัญต้องทำใจได้ว่า “ใช้เวลา”
งวดนี้จึงอาจเป็นเวทีให้โชว์ของ โชว์ศักยภาพ สร้างความน่าเชื่อถือและคะแนนนิยมให้กลับมา แล้วไปหวังเอาจริงๆในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
ถ้าจะบอกว่านโยบายพรรคงวดนี้ คิดให้หัวแทบแตกก็ “ไม่ได้ทำ” ก็คงไม่เกินจริง อาจจะฟังดูแรงแต่เป็นความจริงอย่างที่สุด ด้วยกติกาที่บีบให้เป็นรัฐบาลผสม ถ้าไม่ได้เสียงมหาศาลจริงๆ ก็คงยากที่จะได้ผลักดันนโยบายตัวเองในจำนวนมาก ดังนั้น ถ้าให้คิดแทน วันนี้สร้างนโยบายที่ “คนจะเสียดาย ถ้าไม่ได้ถูกเอาไปทำ” น่าจะดีกว่าสำหรับการฟื้นคืนชีพ
อีกจุดที่สำคัญเห็นจะเป็นประชากรศาสตร์ของ voters ที่ต้องมาทบทวนกันใหม่ เพราะแฟนคลับเดิมๆของพรรคก็ดูแล้วจะลดจำนวนลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา ในขณะที่ voters ใหม่ๆในปัจจุบันก็ไปให้ความสำคัญกับจุดอื่นที่ประชาธิปัตย์ไม่มี ถ้าจะเอาฐานเสียงเดิม ก็คงต้องบอกว่าเหนื่อย แต่ถ้าจะเอาฐานเสียงใหม่ ก็ต้องบอกว่า ต้องปรับตัวมหาศาล ทั้งภาพลักษณ์ของพรรค รวมถึงนโยบายที่ต้องเปลี่ยนทั้งวิธีการออกแบบ ไปจนถึงผลลัพธ์ของนโยบาย เพราะ voter ต้องการสิ่งที่ต่างไปแล้ว ซึ่งจะยากขึ้นไปอีกขั้นถ้าต้องการจะรักษา identity ของพรรคไว้ให้ได้ไปพร้อมๆกัน เป็นโจทย์ที่ผู้บริหารพรรคต้องไปคิดกันต่อ
อย่าลืมว่า สุดท้าย ปลายทางของการเมืองไทย “ปริมาณ” ยังคงเป็นตัวตัดสิน
ที่สำคัญ ต้องสร้างความ “ใหม่” ให้เกิดขึ้นให้ได้ รวมถึงการละลายวัฒนธรรมองค์กรเก่าๆ ที่เป็นปัจจัยผลักดันให้เลือกไหลออก โดยเฉพาะการสร้างคนรุ่นใหม่แต่ไม่มีที่ให้ยืน จนกลายเป็นของหวานของพรรคการเมืองอื่นๆที่มาดูดคนเก่งๆออกไปใช้งานกันสบายแฮแบบไม่ต้องลงทุนสร้างเอง
ข้อได้เปรียบของพรรคสีฟ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่มี โดยเฉพาะการหลุดออกจากสมการการเมืองของพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ก็ใช่ว่าบัลลังก์ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะกลับมาที่ประชาธิปัตย์ เพราะดูแล้วยังมีพรรคสีน้ำเงินที่ท่าทางจะเป็น “The new sheriff” อยู่ ณ ตอนนี้ แต่ก็เชื่อได้ว่า แฟนคลับจำนวนไม่น้อยของพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังคงเป็นกลุ่มเดิมที่สนับสนุนประชาธิปัตย์อยู่ ดังนั้น โจทย์ใหญ่คือจะทำอย่างไรให้ขยายวงของผู้สนับสนุนออกไปให้ได้มากกว่านี้
เลือกตั้งงวดนี้ จึงคิดว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นตัวเลือกสำคัญของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ปัญญาชนบางกลุ่ม และแฟนคลับเดิม โดยเฉพาะของหัวหน้าพรรค และน่าจะเป็นเวทีสำหรับการฟื้นคืนพรรคที่ดี เป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจระยะยาว แต่อาจยังไม่ใช่จุดที่พรรคจะกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สัปดาห์หน้ามาต่อกันครับ







