การที่ไทยไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน และใช้สิทธิในการป้องกันตนเองยกระดับการตอบโต้กัมพูชาตามกฎการปะทะนั้น เราคาดหวังว่ากัมพูชา หรือ สมเด็จฯ ฮุน เซน ผู้อยู่เบื้องหลังกำหนดทิศทางต่างๆ ของกัมพูชาจะได้คิดเสียที
การใช้ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกับประเทศไทย เพื่อปลุกกระแสชาตินิยมและค้ำบัลลังก์อำนาจของตนเองและบุตรชาย ดูเหมือนจะเป็น "สูตรสำเร็จ" ที่อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างสมเด็จฯ ฮุน เซน นำมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่กรณีพิพาทปราสาทพระวิหารไปจนถึงความตึงเครียดบริเวณชายแดนล่าสุด
การปลุกกระแสชาตินิยมถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและผู้พิทักษ์อธิปไตยของชาติ ทั้งยังช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ หรือการวิพากษ์วิจารณ์การรวมศูนย์อำนาจของตระกูลฮุน
โดยเฉพาะในช่วงหลังการส่งต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่ ฮุน มาเนต บุตรชาย การสร้างวิกฤตชายแดนและแสดงบทบาทเป็นผู้บัญชาการหลักอย่างแข็งขัน สวมเครื่องแบบทหาร โพสต์โซเชียลมีเดีย ยิ่งตอกย้ำถึงอิทธิพลที่ยังคงอยู่ และช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับการสืบทอดอำนาจ
การโหนกระแสความรู้สึกรักชาติของประชาชนในยามขัดแย้งกับ "ศัตรูภายนอก" ช่วยให้ ฮุน เซน สามารถสร้าง "ตำนาน" ของตนเองในฐานะผู้กอบกู้ชาติ และผูกมัดกองทัพไว้กับผลประโยชน์ทางการเมืองของตระกูล
แม้จะช่วยรักษาอำนาจทางการเมืองในระยะสั้น แต่การกระทำเหล่านี้กลับสร้างบาดแผลให้กับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ควรจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติและพึ่งพาอาศัยกันในฐานะสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะผลกระทบทางเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนบริเวณชายแดน โดยเฉพาะกับประชาชนและประเทศกัมพูชาเอง
ถึงเวลาที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ควรคิดใหม่ ทำใหม่ เลิกใช้ไทยเป็นเครื่องมือทางการเมือง สิ่งที่กัมพูชาต้องการอย่างแท้จริงคือการพัฒนาอย่างยั่งยืน การสร้างเสถียรภาพ และความร่วมมือที่แท้จริงกับเพื่อนบ้าน
การสร้าง "สะพาน" แห่งความเข้าใจและความร่วมมือทางเศรษฐกิจจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกและยั่งยืนกว่าการสร้าง "กำแพง" แห่งความเกลียดชังและชาตินิยมสุดโต่งเพื่อรับใช้ความทะเยอทะยานทางการเมือง
#ฮุนเซน #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #การเมืองกัมพูชา #ฮุนมาเนต #สูตรสำเร็จทางการเมือง #ชาตินิยม #อาเซียน #HunSen







