ปลายปี 2568 การเมืองไทยไม่ได้สั่นสะเทือนเพราะเสียงปืนที่แนวชายแดนเพียงอย่างเดียว หากแต่สั่นสะเทือนถึง “ฐานศรัทธา” ของพรรคการเมืองบางพรรคอย่างรุนแรง ตัวเลขจากนิด้าโพลไตรมาส 4 เปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ไม่ได้เป็นเพียงสถิติ แต่คือคำพิพากษาทางอารมณ์ของสังคม ที่สะท้อนว่า ในยามบ้านเมืองเผชิญวิกฤตความมั่นคง ความผิดพลาดทางวาทกรรมอาจแพงกว่าความผิดพลาดทางนโยบายหลายเท่า
การพุ่งทะลุขึ้นของกลุ่ม “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” และ “ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้” จนกลายเป็นอันดับหนึ่ง คือสัญญาณชัดว่า ประชาชนจำนวนมากกำลังปฏิเสธทั้งกระดานการเมือง ไม่ใช่เพราะไม่มีตัวเลือก แต่เพราะไม่เชื่อว่าใครจะพาประเทศรอดพ้นจากความเปราะบางที่กำลังถาโถมอยู่ตรงหน้า และในบรรดาผู้ที่ได้รับแรงกระแทกจากกระแสนี้อย่างจัง หนึ่งในนั้นคือ พรรคประชาชน และผู้นำพรรคอย่าง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ซึ่งคะแนนนิยมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กระแสเริ่มตีกลับ คือสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องถกเถียงในห้องสัมมนา แต่กลายเป็นเหตุปะทะจริง มีการสูญเสีย มีภาพทหารยืนเผชิญหน้า และมีความรู้สึกร่วมของสังคมเรื่องอธิปไตยเข้ามาครอบงำพื้นที่สาธารณะ ในจังหวะเช่นนี้ ท่าทีทางการเมืองที่สวนกระแสอารมณ์ชาติ ย่อมถูกจับตาอย่างเข้มข้นเป็นทวีคูณ
จากบริบทที่เป็นอยู่นั้น คำอธิบายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ออกมาย้ำว่า หากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์อาจไม่ลุกลาม เพราะจะใช้ “การทูตนำการทหาร” และไม่เล่นเกมชาตินิยมเขี้ยวลากดิน แม้จะตั้งอยู่บนกรอบคิดเชิงหลักการและประชาธิปไตย แต่ในสายตาของประชาชนจำนวนไม่น้อย กลับมองว่าคำอธิบายนี้เป็นการ “มองข้ามความจริงในสนาม” มากกว่าจะเป็นทางออกที่จับต้องได้
ยิ่งเมื่อวาทะเก่าอย่าง “ทหารมีไว้ทำไม” ถูกฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาตอกย้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยตัดขาดออกจากบริบทเดิมที่เป็นการวิจารณ์งบประมาณและบทบาททางการเมืองของกองทัพ วาทกรรมที่เคยใช้เป็นอาวุธโจมตีระบบอำนาจ กลับกลายเป็นหอกแหลมที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงผู้พูดเองอย่างจัง ในห้วงเวลาที่ทหารกำลังยืนอยู่แนวหน้า คำพูดใดก็ตามที่ถูกตีความว่า “ด้อยค่า” ย่อมถูกสังคมลงโทษโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม
แม้นายพิธาจะพยายามชี้แจง แยกแยะระหว่างทหารมืออาชีพที่ปกป้องประเทศ กับนายพลที่ใช้กองทัพเป็นเครื่องมือทางการเมือง และยืนยันว่าพรรคประชาชนต้องการปฏิรูปกองทัพ ไม่ใช่ทำลายกองทัพ แต่ในทางการเมือง การชี้แจงมาช้า ย่อมไม่อาจลบภาพจำที่ถูกตอกย้ำซ้ำ ๆ ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่อารมณ์รักชาติของสังคมพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
ทั้งนี้ ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ท่าทีต่อปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา คือหนึ่งในปัจจัยหลักที่ฉุดคะแนนนิยมของนายณัฐพงษ์และพรรคประชาชนลงมาอย่างเห็นได้ชัด การเน้นการทูต กฎหมายระหว่างประเทศ และการวิจารณ์รัฐบาลว่าโหนกระแสชาตินิยม อาจสอดคล้องกับหลักการในตำรา แต่สวนทางกับความคาดหวังของประชาชนจำนวนมากที่ต้องการเห็นความเด็ดขาดในการปกป้องอธิปไตย
เมื่อท่าทีเหล่านี้ถูกผนวกเข้ากับการแสดงความเห็นของ ส.ส.บางรายที่ถูกมองว่าไม่ให้เกียรติกองทัพ ความไม่พอใจในกลุ่มมวลชนอนุรักษ์นิยม รวมถึงครอบครัวทหาร จึงปะทุขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่คะแนนที่ไหลไปหาพรรคคู่แข่งโดยตรง หากแต่เป็นคะแนนที่ไหลออกจากระบบการเลือกทั้งหมด ไปสู่กลุ่ม “ไม่เลือกใคร” ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่สุดสำหรับพรรคการเมืองใดก็ตาม
นิด้าโพลไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงผลสำรวจความคิดเห็น หากแต่เป็นบทเรียนราคาแพงว่า วาทกรรมทางการเมืองไม่มีวันตาย มันเพียงรอเวลาที่บริบทจะเปลี่ยน แล้วย้อนกลับมาทำงานกับผู้พูดอย่างโหดร้ายที่สุด และในยามที่ประเทศเผชิญภัยคุกคามจริง สนามรบที่อันตรายไม่แพ้แนวชายแดน คือสนามความรู้สึกของประชาชน ใครอ่านเกมนี้ผิด ย่อมต้องชดใช้ด้วยศรัทธาที่สูญหายไปอย่างยากจะเรียกคืน
#นิด้าโพล #คะแนนนิยมการเมือง #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #พรรคประชาชน #ด้อยค่ากองทัพ #ชายแดนไทยกัมพูชา #ไม่เลือกใคร #การเมืองไทย #คอลัมน์การเมือง







