ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
"ความเชื่อและศรัทธาแห่งชีวิตในแต่ละยุคสมัย อาจคือปมขัดแย้งแห่งใจ ที่ชีวิตแต่ละชีวิตต้องเผชิญกับวิกฤตปัญหา ที่ร้อยรัดและผูกพันอยู่กับอัตตา จนยากจะปลดเปลื้องและเข้าใจ ชุดความคิดในแต่ละความคิดของบุคคลในแต่ละบุคคล จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ลึกเร้นและยากต่อการอธิบายความ เพื่อสื่อถึงความหยั่งรู้อันเป็นเจตจำนงเฉพาะ!
นั่นคือ ที่มาแห่งจารีตนิยมที่ฝังตัวตนอยู่กับโครงสร้างของจิตวิญญาณอย่างติดตรึง จนจะต้องค่อยๆ เรียนรู้, เผชิญหน้า, และยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ในสถานะของการอยู่ร่วมกัน ด้วยความรู้สึกรักอันอ่อนโยน และ "ไม่เคยตายไปจากใจ"
...เป็นดั่งภาวะของ "สายลมที่ไม่สามารถจะมองเห็น แต่กลับสัมผัสรู้ได้ ด้วยใจแห่งใจของทุกผู้ทุกคน!"
สาระอันเป็นคุณประโยชน์และงดงามเบื้องต้น คือความหมายที่ได้จากนวนิยายแห่งประเพณี, จารีต และ สัมพันธภาพอันงดงามระหว่างพ่อกับลูกชาย ในนาม "เตี่ยของเมฆ" งานเขียนอันจีรังในกลิ่นอายของความเป็นวัฒนธรรมจีน ที่ทั้งซื่อตรง, กินใจ และ น่าเรียนรู้ โดย "จิตประภัสสร" นักเขียนสตรี ผู้สร้าง "วิถีแห่งธรรม" ผ่านจิตสำนึกอันล้ำค่า สู่การเรียนรู้ และทบทวนชีวิต กระทั่งบังเกิดเป็นอุทาหรณ์สอนจริต จนประจักษ์ต่อดวงใจที่น้อมรับในทุกๆ ดวงลืมอ่านโพลผลสำรวจไป
ว่ากันว่า นี่คือเรื่องราวแห่งการเกี่ยวพันของคนสองรุ่น ที่รักกันแต่ก็ไม่เคยบอกรักกัน ความเป็นพ่อที่เคี่ยวกรำอยู่กับการทำงาน, อดีตอันเร้นซ่อน และ กฎเกณฑ์แห่งชีวิตที่ล่ามมัดตัวตนแห่งจิตใจมาเป็นเวลานาน จนไม่กล้าปลดเปลื้อง เพื่อที่จะอาบร่างกับแสงฉายดวงใหม่
กระทั่งทำให้วงจรชีวิตต้องดำเนินไปเบื้องหน้าอย่างแข็งกระด้างและปิดกั้น ความจริงอันควรจะเปิดเปลือยทั้งหมด
ผู้มีศักดิ์เป็นลูกชายของเขาจึงรู้สึกทั้งขัดแย้งและย้อนแย้ง เป็นไฟสุมขอนต่อการใช้ชีวิตร่วมกัน "ปรารถนาแห่งรัก" ตลอดจนคำกล่าวอันบริสุทธิ์จากใจในการบอกรักต่อกันและกัน เป็นสิ่งสำคัญอันลึกซึ้งที่ลูกต้องการได้ยินจากปากของพ่อ ในสักครั้ง หรือเพียงสักครั้ง แต่เสียงแห่งความหวังนี้กลับไม่เคยเกิดขึ้นเลย
...หัวใจแห่งการรับรู้และตัดสินใจของตัวละครตัวเอกทั้งสอง ระหว่างพ่อกับผู้เป็นลูกชาย ระหว่าง "เตี่ยกับเมฆ" จึงคือกลไกแห่งปริศนาของประพันธกรรมเรื่องนี้ ที่ "เรา" ในฐานะนักอ่านทุกคนต้องสืบค้น, พินิจพิเคราะห์ และ สร้างสรรค์การตีความออกมา อย่างมีความหมายอันสมบูรณ์ให้จงได้!
"หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตอาจเกิดจากเงื่อนไขของชะตากรรมอันขมขื่น...แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นจากความรัก ที่ไม่เคยเอ่ยกล่าวจากปากออกมาเลย แม้เมื่อใด!"
...ภาวะของการกลืนกินรอยแผลแห่งการอำพรางของอดีต ที่ "เตี่ย" เก็บงำไว้ เหมือนเป็นโศกนาฏกรรมแห่งใจที่รุกล้ำ แต่ "เตี่ย" ก็ไม่ถือเอาเป็นสรณะ, ไม่จมจ่อมและยึดติด แต่กลับแปรภาวะนั้นจนเป็นโอกาสแห่งการสร้างสรรค์ชีวิตให้เติบใหญ่และเติบกล้าขึ้น โดยเฉพาะชีวิตของเมฆ หรือแม้แต่ตัวของตัวเองที่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อยึดโยงอนาคตที่อบอุ่นและมั่นคงต่อไป ซึ่งสถานการณ์แห่งการประพันธ์ตรงส่วนนี้ "จิตประภัสสร" จะตกผลึกและเข้าใจ ส่งผลต่อการสะท้อนสาระด้านลึกของเรื่องราวชีวิตออกมาได้อย่างประทับใจ
"มันคือชีวิตเขียนชีวิต" ทั้งด้วยสถานะและบทบาท ของคุณความดีที่มนุษย์เราจักต้องประจักษ์เห็น, ประจักษ์คิด หากหวังถึงความผูกพันอันเนื่องมาแต่ "ความรักจากจิตใจที่เป็นนิรันดร์"
"เปลือกตาของชายชราบนเตียงยังปิดสนิท มีเพียงเสียงกรนที่เมฆคุ้นเคยดังแผ่วเป็นจังหวะ ...เสียงทุ้มสั้นยาวที่ลากสลับกันไปมา บางครั้งก็ดังขึ้นเล็กน้อยแล้วก็แผ่วลง บางคราก็เงียบลงเรื่อยๆ ราวกับจะหลอกให้ตายใจ ก่อนจะดังขึ้นอีกครั้งอย่างกระชากอารมณ์...เสียงกรนที่เคยรำคาญสำหรับเขา วันนี้กลับช่างไพเราะ ราวกับดนตรีจากฟากฟ้า เสียงแห่งความเมตตาที่ยังคงหยัดยืนอยู่บนโลก"
ความโดดเด่น ในความเป็นนิยายเรื่องนี้ ...อยู่ที่ฉากทัศน์แห่งความเป็น "ชีวิตและการจากไป" ที่ทั้งสงบงามและลึกซึ้ง ประหนึ่งการกลืนกินธารสำนึกของกาลเวลาแห่งชีวิต ให้เข้าไปสู่เวิ้งรู้แห่งหุบเหวของจิตใจ...สะท้อนสะท้านถึงรากฐานแห่งตัวตนภายใน!
"อาเมฆ...อาเมฆใช่ไหม" เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากนั้นเบากว่ากระซิบ แต่เขาได้ยินชัดเจน ราวกับเสียงนั้น ตะโกนออกมาดังที่สุดในชีวิต "ครับเตี่ย...ผมอยู่นี่แล้วครับ" "อาตง"...เตี่ย...ละเมออีกตามเคย เหมือนพยาบาลบอกไว้ว่า "คนป่วยมักละเมอเรียกชื่อนี้อยู่บ่อยๆ" ชายหนุ่ม สัญญากับตัวเองว่า จะดูแลคนในครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวให้ดีที่สุด แม้เพิ่งจะรับรู้ความจริงบางอย่าง "ซึ่งไม่อยากให้เป็นความจริงเลยก็ตาม"!!!
เส้นเรื่องหลักแห่งชีวิตของนิยายเรื่องนี้ สร้างพลังสำนึกแห่งความกตัญญู และเงื่อนไขแห่งข้อตระหนักแห่งรัก ได้อย่างมีทิศทางในความหวัง มันอาจเป็นได้ทั้งความปรารถนาเฉพาะตัวที่หวังจะให้เกิดขึ้นในดวงใจของผู้เขียน เป็นชีวทัศน์ที่เสริมส่งให้โลกทัศน์ของทุกๆ คน ได้ก่อผัสสะกับชีวิตที่เป็นชีวิตของกาลเวลา!
"อั๊วรักลื้อนะ...อาเมฆ" เสียงแผ่วเบา แต่กลับมีพลังพอที่จะทำให้น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อรื้นด้วยความอิ่มเอมใจ ถ้อยคำเดียวที่เขารอคอยมาทั้งชีวิต คำสั้นๆ ที่ทำให้เขาได้ปลดปล่อยความรู้สึกค้างคาใจ ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ความรู้สึกโหยหาเพียงคำว่า "รัก" จากคนที่เขาเรียกว่า "เตี่ย..."
"เตี่ย...พูดให้ผมฟังอีกครั้งได้ไหมครับ" เมฆอยากให้คำนั้น ดังก้องอยู่ในใจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เลือนหายไปจากกาลเวลา "อั๊วรักลื้อนะ...อาเมฆ" อาตง...กล่าวย้ำอีกครั้ง น้ำเสียงชัดเจน หนักแน่นกว่าครั้งแรก ตามความปรารถนาของ "ลูกชายนอกสายเลือด" คล้ายต้องการจารึกถ้อยคำนี้ ลงในแผ่นหินแห่งความทรงจำของตัวเอง เช่นกัน"
...ที่สุดแล้ว คนเราจะถือมาจากใครไม่สำคัญ! แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความรักความเกื้อกูล ที่ "บุคคลแห่งโลกแห่งชะตากรรมของชีวิต" ได้มอบให้ เป็น "ลิขิตแห่งฟ้า" ที่สอนสั่งต่อเราให้ก้าวพ้นไปจาก "หุบเหวของชีวิตที่ไม่ได้ก่อ" ตัวละครเอก 3 ตัวในเรื่องนี้ "พ่อ แม่ ลูก" เป็นทั้งโยงใยที่ทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้น ที่ทำให้โลกได้เห็นถึง ทั้งรอยแผลกลัดหนอง และ แสงสว่าง ทุกอย่างถูกเยียวยาจาก "สายน้ำแห่งความกรุณา" จากหัวใจอันชื่นเย็น! ยุคสมัยของการมีชีวิตอยู่ล้วนแตกต่าง ความคิดเห็นออกจากกัน บางครั้งการเก็บงำความรู้สึกไว้ภายในจนชั่วชีวิตอาจคือทางเลือกทางปัญญาที่สุขสงบ แต่กับการใคร่รู้ในสิ่งที่ชีวิตจำเป็นต้องรู้ของคนในยุคต่อมา ก็ย่อมกลับกลายเป็น "ปริศนา...แห่งนิยาย" ...เรื่องแต่งที่อิงอาศัย ใจต่อใจ เป็นบทพิสูจน์เพื่อการยอมรับนับถือ!
"ผมคิดว่า...ถ้าเรารักใครสักคน...และอยากสร้างครอบครัวด้วยกัน...ความไว้เนื้อเชื่อใจ...จะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!"
...โครงเรื่องหลักของนิยายเรื่องนี้ คือสาระที่อยู่เหนือสาระชีวิต หากไม่เกิดการคิดคำนึง "ความธรรมดาที่เรียบง่าย" ประเด็นนี้ก็จะไม่ส่งผลลัพธ์อะไรเลย ความเป็นศรัทธาของชีวิต...และ ศรัทธาแห่งรัก! ...ตัวละคร...และฉากแสดงของเรื่องราวแห่งนิยายเรื่องนี้อยู่ใกล้กับตัวตนของเรามากๆ...มันชิดใกล้...จนเกินกว่าจะพลิกตัว...มองข้ามผ่านสาระชีวิตทั้งหมดไปได้! ...ในส่วนฉากประกอบแห่งชีวิตอื่นๆในโครงสร้างรอง มันติดอยู่กับจารีตแห่งประพันธกรรมเชิงอารมณ์อยู่ไม่น้อย กระทั่งอาจทำให้รสชาติแห่งความจริงจังและลึกซึ้งต่อ "สุนทรียะ" ในทัศนียภาพแห่ง "เตี่ยของเมฆ" ต้องถูกอำพรางและลดทอนคุณค่าอันควรจะเป็น...ลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ!
"คนบางคนแม้จะหายไปจากชีวิตเรา...แต่ไม่เคยหายไปจากความทรงจำ! ก็แค่เห็น แต่ไม่เคยเพ่งมอง ก็แค่ดูแล แต่ไม่เคยเอาใจใส่...!!!"








