การสู้รบไทย-กัมพูชา ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 11 ส่งผลกระทบเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราตามแนวชายแดน อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ไม่สามารถเข้าไปกรีดยางได้เนื่องจากเสี่ยงอันตรายเพราะมีกระสุนปืนใหญ่ตกในพื้นที่ชุมชน และพื้นที่เกษตรกว่า 30 ลูก ทำให้ขาดรายได้เกือบ 2 สัปดาห์ เดือดร้อนหนักวอนรัฐบาลและทหารเร่งจัดการให้จบ
วันที่ 18 ธ.ค.68 สถานการณ์สู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ที่ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 11 ทำให้ส่งผลกระทบกับประชาชนและเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายแดน ยังไม่สามารถกลับเข้าพื้นที่ไปใช้ชีวิตหรือประกอบอาชีพได้ตามปกติ อย่างเช่น เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในพื้นที่อำเภอบ้านกรวด ซึ่งยังเป็นพื้นที่สีแดงเสี่ยงอันตราย เพราะยังคงมีการยิงปะทะตามแนวชายแดน และมีกระสุนปืนใหญ่ตกในพื้นที่ชุมชน และพื้นที่การเกษตรมากกว่า 30 ลูก และบางลูกยังไม่ทำงาน
ทางเจ้าหน้าที่จึงยังไม่อนุญาตให้เกษตรเข้าไปกรีดยาง บางคนที่กรีดไว้ก่อนเกิดการสู้รบก็ไม่สามารถเข้าไปเก็บผลผลิตได้ เพราะเกรงจะได้รับอันตราย สร้างเดือดร้อนให้กับเกษตรกรต้องขาดรายได้มานานเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว จากปกติเกษตรกรจะมีรายได้จากการกรีดยางพาราขาย เฉลี่ยสัปดาห์ละ 5,000 10,000 บาท แต่หลังจากเกิดการสู้รบกันรายได้ก็เป็นศูนย์ แต่ยังต้องมีภาระค่าใช้จ่ายประจำวัน และภาระหนี้สิน ซึ่งยังไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปชำระ จึงอยากให้รัฐบาลและทหาร เร่งจัดการปัญหาชายแดนให้จบลงโดยเร็ว จะได้กลับไปใช้ชีวิตและทำมาหากินได้ตามปกติเพราะตอนนี้ชาวบ้านชายแดนเดือดร้อนมาก
ช่วงนี้ก็มีผู้นำชุมชน และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ที่หมุนเวียนเข้าไปตรวจตราดูแลสวนยางพาราเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีหรือคนร้าย ฉวยโอกาสเข้าไปขโมยเก็บยางที่เกษตรกรกรีดทิ้งไว้ในถ้วย ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมเกษตรกรที่เดือดร้อนอยู่แล้ว
นายสง่า อายุ 55 ปี เกษตรกรชาวอำเภอบ้านกรวด บอกว่า ตั้งแต่เกิดการสู้รบก็ให้ลูกและภรรยา ไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ส่วนตัวเองก็อยู่เฝ้าบ้าน แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปกรีดยางพาราซึ่งมีอยู่ 14 ไร่ได้เกือบจะ 2 สัปดาห์แล้ว ทำให้ขาดรายได้ จากช่วงปกติจะมีรายได้จากการกรีดยางพาราเฉลี่ยสัปดาห์ละ 7,000 – 8,000 บาท แต่ตอนนี้รายได้เป็นศูนย์ ก็เดือดร้อนมากเพราะนอกจากจะขาดรายได้แล้ว ยังต้องมีภาระหนี้สินอีก ก็อยากให้รัฐบาลและทหารจัดการปัญหาพิพาทชายแดนให้จบโดยเร็วและเด็ดขาด ไม่ให้กัมพูชามารุกรานไทยหรือเกิดการสู้รบกันอีก ประชาชนจะได้ใช้ชีวิตเป็นปกติ
ด้านนายวิชิต อายุ 35 ปี บอกว่า ครอบครัวปลูกยางพารา 500 ต้น ปกติจะมีรายได้จากการกรีดยางพาราขายเฉลี่ยสัปดาห์ละ 3,000 – 4,000 บาท แต่หลังเกิดการสู้รบก็ไม่สามารถเข้าไปกรีดยางได้เลย เพราะเป็นพื้นที่อันตรายที่ยังมีการสู้รบ ทำให้ขาดรายได้มากเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว ยอมรับว่าเดือดร้อน แต่หากการสู้รบครั้งนี้จะทำให้กัมพูชาไม่มารุกรานไทยหรือเกิดปัญหาพิพาทกันอีก ก็อยากให้ทหารจัดการให้จบไปเลย เพราะชาวบ้านชายแดนต้องอพยพเป็นครั้งที่สองแล้ว
#ภูมิภาค-54








