มรดกพันล้านขอนแก่นยังไม่จบ บ้านใหญ่เดินหน้ายื่นศาลเยาวชนฯ ขอแบ่งกรรมสิทธิ์ร่วมครึ่งนึง วอนศาลฯชี้เป็นสินสมรส เพราะแม้จะหย่ากัน แต่ทุกบาทเป็นหยาดเหงื่อแรงกายที่ทำร่วมกันมาและยังใช้ค้ำประกันจนรุ่งเรืองถึงทุกวันนี้
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 12 ธ.ค.2568 ที่ศาลเยาวชนและครอบครัว จ.ขอนแก่น เขตเทศบาลนครขอนแก่น นางสมพิศ แซ่แล อายุ 78ปี อยู่บ้านเลขที 89/1-2 ถ.มิตรภาพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น พร้อมด้วยบุตรชายคือ นายประกิต ทองแท่งไทย ที่ปรึกษา นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น,นายปรัชญา ทองแท่งไทย สมาชิกสภา อบจ.ขอนแก่น เขต อ.ภูผาม่าน และนายชนาธิป สุโพธิ์ ทนายความ ได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวขอนแก่น เพื่อขอแบ่งกรรมสิทธิ์ร่วม จากคดีพินัยกรรมที่ฉ้อฉล โดยมีการนำเอกสารทะเบียนสมรส,ทะเบียนหย่า,และเอกสารโฉนดที่ดินต่างๆ ที่มีสิทธิ์ครอบครองร่วมกับนายเฮง ทองแท่งไทย ในขณะนั้นมาแสดงต่อศาล ท่ามกลางความสนใจของสื่อมวลชนที่มารอทำข่าว เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนสนใจและผู้ที่ให้การเคารพนับถือที่มาร่วมให้กำลังใจจำนวนมาก
นายชนาธิป สุโพธิ์ ทนายความ กล่าวว่า คดีที่เกิดขึ้นเป็นที่ทราบกันว่าเกิดจากพินัยกรรมที่ฉ้อฉลซึ่งครอบครัว ได้ต่อสู้ในกระบสนการของศาลมาตั้งแต่การยื่นขอให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ และการขอเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกเพื่อร่วมสืบทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาทและวันนี้ภรรยาคนที่ 1 คือนางสมพิศ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฯเพื่อขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เพราะนางสมพิศ และนายเฮง ได้แต่งงานกันและจดทะเบียนสมรสกันในปี 2520 และหย่าในปี 2541 ในระหว่างที่ครองรักกันมีทายาทที่ถูกต้อลตามกฎหมาย 4 คน โดยในช่วงของการครองรักกันนั้น มีการนำที่ดินที่เป็นสินสมรสมาจำหน่ายเพื่อนำไปลงทุนทำธุรกิจโรงโม่หินและธุรกิจต่างๆ อีกทั้งทรัพย์สินในการครองรักกันของนางสมพิศและนายเฮง ยังคงใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันตั้งแต่ปี 2520 จนถึงปัจจุบัน
"พินัยกรรมที่เป็นประเด็นมรดกพันล้าน ยังคงเป็นสิทธิ์ที่บ้านใหญ่เรียกร้องในสิทธิ์ที่ได้รับวันนี้คือการร้องขอต่อศาลให้ท่านได้พิจารณาเรื่องสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม เพื่อที่บ้านใหญ่จะมีสิทธิ์อันชอบธรรมครึ่งนึง เพราะนางสมพิศและนายเฮง ได้ใช้หยาดเหงื่อแรงกายในการสู้ชีวิตในขณะนั้นจนมาสู่รุ่นลูก และภรรยาคนที 2 ที่เฟื่องฟูรุ่งเรือง ดังนั้นจึงเป็นสิทธิ์ที่จะขอแบ่งกรรมสิทธิ์ร่วม ในสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ"
นายชนาธิป กล่าวต่อว่า ขณะนี้ครอบครัวทองแท่งไทย ในทายาท บ้านที่ 1 กังวลเรื่องความปลอดภัยอย่างมากดูได้จากการนัดพร้อมนัดแรกของศาลจังหวัดชุมแพ ที่คู่กรณีได้นำทหารและตำรวจ มาเต็มศาล จนทำให้ครอบครัวแรกเกนงว่าจะไม่ปลอดภัย และหากมีอะไรเกิดขึ้นเชื่อได้ว่าเกิดจากการกระทำของครอบครัวที่ 2 เป็นแน่ ดังนั้นวันนี้จึงยื่นขอต่อศาลให้ท่านได้พิจารณาในการขอแบ่งกรรมสิทธิ์ร่วม 50% เพราะทรัพย์สินมนขณะที่ทั้งคู่ครองรักกันยังคงใช้เป็นหลักค้ำประกันการทำธุรกิจมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวว่าพินัยกรรมจะระบุอย่างไรแต่ครอบครัวแรกยังคงยืนหยัดต่อสู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานแม้จะกังวลเรื่องความปลอดภัยแต่ทั้งครอบครัวยังคงรักใคร่กันดี มีการพบปะพูดคุยกันระหว่างนายเฮง ผู้ตายกับลูกๆทั้ง 4คนมาตบอด ไปมาหาสู่กันมาตลอดแต่พินัยกรรมระบุออกมาขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้ทุกได้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องสิทธิ์อันพึงมีและสิทธิ์ที่ควรได้รับในเรื่องของมรดกที่ค้นเจอและยังค้นหาไม่เจอในขณะนี้







