วันที่ 4 ธ.ค.2568 น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ อดีตรองโฆษกรัฐบาล ออกมาแสดงความกังวลผ่านเฟซบุคส่วนตัว ต่อมาตรฐานการพิสูจน์หลักฐานด้านความเร็ว เมื่อการวิเคราะห์คดีดังบางคดีถูกใช้เป็นช่องทางสร้างประโยชน์ให้บุคคลบางกลุ่ม มากกว่าจะยึดหลักวิทยาศาสตร์ตามมาตรฐานสากล ภายหลังจากที่ บทวิเคราะห์ของ ศ.เฮอร์มันน์ สเตฟาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจำลองอุบัติเหตุระดับโลก ระบุว่าไทยยังมีจุดอ่อนสำคัญในกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน
โดยสเตฟานชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานสากลให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูล การตรวจสอบซ้ำ และความเป็นอิสระของผู้เชี่ยวชาญ แต่ระบบไทยกลับพึ่งพาความเห็นของบุคคลมากกว่ากระบวนการ ส่งผลให้ผลการวิเคราะห์บางคดี มีความแตกต่างสูงถึงระดับที่ไม่สามารถยอมรับได้ในประเทศพัฒนาแล้ว
หนึ่งในกรณีที่ถูกหยิบยกขึ้นเป็นตัวอย่าง คือรายงานความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในคดีอุบัติเหตุเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตัวเลขนี้เคยกลายเป็น ‘หลักฐาน’ ที่ทำให้จำเลยถูกพิพากษาทางสังคมอย่างหนัก แต่เมื่อสเตฟานลองตรวจสอบใหม่ด้วยซอฟแวร์ทดสอบความเร็วเสมือนจริง และด้วยการทดสอบชนจริง พบว่าตัวเลขดังกล่าวคลาดเคลื่อนอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งจากการใช้คลิปที่ไม่ใช่ต้นฉบับ เลือกจุดอ้างอิงผิด และการคำนวณเวลายาวเกินจริงจนผลที่ได้เกินความจริงหลายเท่า
อดีตรองโฆษกรัฐบาลชี้ว่า ความผิดพลาดนี้ไม่ได้เกิดจากความบกพร่องเฉพาะบุคคล แต่สะท้อน ‘โครงสร้างที่เปิดช่องให้บางคนใช้คดีดังเป็นสะพานล่าขุมทรัพย์’ ผ่านการตีความหลักฐานที่ไม่โปร่งใส และการสร้างตัวเลขที่ไม่ผ่านการตรวจสอบตามหลักสากล พร้อมระบุว่า นี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบอย่างรุนแรง
“ไม่ใช่เรื่องของคดีใดคดีหนึ่ง แต่มันคือ “ปัญหาเชิงระบบ” ที่ทำให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ถูกบิดได้ง่ายเกินไป และทำให้สังคมตัดสินไปแบบผิดๆ ทั้งที่ความจริงยังไม่ได้ถูกพิสูจน์ให้แน่ชัด”
“สิ่งที่สังคมต้องกังวลไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ผิดพลาด แต่คือ ระบบที่อนุญาตให้ความเห็นของคนคนเดียวกลายเป็นข้อเท็จจริงของทั้งประเทศ โดยปราศจากกลไกตรวจซ้ำที่เข้มแข็งตามหลักวิทยาศาสตร์” อดีตรองโฆษกรัฐบาลกล่าว
โซเชียล
"อดีตรองโฆษกฯ" ตั้งข้อสังเกตระบบพิสูจน์หลักฐานไทยอาจมีช่องโหว่ หลังคดีดังถูกใช้ปั้นตัวเลขสร้างผลประโยชน์ สั่นคลอนความเชื่อมั่น
แชร์ข่าว








