ในยุคสมัยที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์หรือ Creator Economy เติบโตถึงขีดสุดในปี 2025 การแข่งขันในสนามดิจิทัลไม่ได้วัดกันที่ความคิดสร้างสรรค์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป หากแต่เป็นการช่วงชิง "ความสนใจ" (Attention Economy) ในเสี้ยววินาที จากข้อมูลของ Goldman Sachs ที่พยากรณ์ไว้ว่ามูลค่าตลาดของ Creator Economy อาจพุ่งสูงถึง 4.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 สะท้อนให้เห็นว่าอาชีพครีเอเตอร์และอินฟลูเอ็นเซอร์ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ทรงอิทธิพลต่อสังคมโลกและสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท่ามกลางคลื่นเนื้อหามหาศาลที่ถูกผลิตขึ้นรายวัน กลยุทธ์การดึงดูดสายตาผู้ชมจึงเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพจากการนำเสนอคุณค่าไปสู่การเน้นความตื่นเต้น ความแปลกประหลาด หรือแม้กระทั่งการท้าทายบรรทัดฐานทางสังคม เพื่อแลกมาซึ่งยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่เป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดรายได้ ซึ่งปรากฏการณ์นี้เห็นได้ชัดจากกรณีวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นกับอินฟลูเอ็นเซอร์สายเอ็นเตอร์เทนเมนต์ชื่อดังอย่าง "แจ็กแปปโฮ" ที่มักตกเป็นประเด็นถกเถียงในสังคม
กรณีศึกษาของแจ็กแปปโฮถือเป็นตัวอย่างที่สะท้อนภาพรวมของความขัดแย้งระหว่าง "ความนิยม" และ "ความเหมาะสม" ได้อย่างชัดเจน ในมุมหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปแบบคอนเทนต์ที่เน้นความโผงผาง การแกล้งคน (Prank) หรือการแสดงออกที่หลุดกรอบขนบธรรมเนียมเดิมๆ สามารถสร้างความบันเทิงและเรียกเสียงหัวเราะให้กับกลุ่มผู้ชมจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่ชื่นชอบความท้าทายและความตรงไปตรงมา ส่งผลให้ยอดรับชมและยอดผู้ติดตามพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งเมื่อพิจารณาถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นประเด็นพฤติกรรมในที่สาธารณะหรือการปฏิบัติตนต่อผู้อื่น สิ่งนี้ได้จุดชนวนคำถามสำคัญในสังคมปี 2025 ว่า เส้นแบ่งระหว่างการสร้างความบันเทิงกับการละเมิดมารยาททางสังคมหรือกฎหมายนั้นอยู่ตรงไหน การที่ครีเอเตอร์ผลิตคอนเทนต์โดยยึดถือยอดวิวเป็นที่ตั้งจนอาจละเลยบริบทของ "กาลเทศะ" ซึ่งเป็นรากฐานของวัฒนธรรมไทย อาจส่งผลกระทบในวงกว้างมากกว่าแค่ดราม่าชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อกลุ่มเยาวชนที่เป็นผู้บริโภค
ผลกระทบที่น่ากังวลที่สุดจากการผลิตคอนเทนต์ในลักษณะที่เน้นความแรงหรือการแหกกฎ คือพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ (Copycat Behavior) ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตและการวิจัยด้านจิตวิทยาสังคมระบุสอดคล้องกันว่า เยาวชนมักเรียนรู้ผ่านการสังเกตตัวแบบ (Observational Learning) เมื่อพวกเขาเห็นว่าพฤติกรรมที่ก้าวร้าวหรือการทำลายบรรทัดฐานสังคมได้รับการตอบแทนด้วยยอดไลก์ รายได้ และชื่อเสียง พวกเขาจะซึมซับชุดความคิดว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องปกติหรือเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ ซึ่งสวนทางกับการปลูกฝังจิตสำนึกสาธารณะ
นอกจากนี้ ในเชิงกลไกการตลาดปี 2025 อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ยังคงมีส่วนสำคัญในการ "ให้รางวัล" คอนเทนต์ที่กระตุ้นอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือลบ ทำให้ครีเอเตอร์จำนวนมากตกอยู่ในกับดักของการต้องสร้างคอนเทนต์ที่แรงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรักษาฐานความนิยม โดยละเลยการตรวจสอบความถูกต้องหรือจริยธรรม ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม สิ่งนี้คือการแสวงหาผลประโยชน์ระยะสั้นที่อาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและสังคมในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปี 2025 ก็เริ่มเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลง เมื่อภาคประชาสังคมและหน่วยงานกำกับดูแลเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การวิพากษ์วิจารณ์แจ็กแปปโฮหรืออินฟลูเอ็นเซอร์รายอื่นๆ ในปัจจุบัน ไม่ได้หยุดอยู่แค่การต่อว่าในคอมเมนต์ แต่เริ่มขยับไปสู่การตรวจสอบโดยสังคม (Social Sanction) ที่เข้มข้นขึ้น รวมถึงการเรียกร้องให้แบรนด์สินค้าทบทวนการสนับสนุนผู้ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม อีกทั้งกฎหมายดิจิทัลและระเบียบการใช้อินเทอร์เน็ตในหลายประเทศเริ่มมีการบังคับใช้ที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมคอนเทนต์ที่กระทบต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้ง หรือการสร้างความเดือดร้อนรำคาญในพื้นที่สาธารณะ นี่คือจุดเปลี่ยนที่ชี้ให้เห็นว่า ในอนาคต "ความรับผิดชอบ" จะกลายเป็นต้นทุนสำคัญที่ครีเอเตอร์ต้องจ่าย หากต้องการยืนระยะในวงการอย่างยั่งยืน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการถอดบทเรียนสำคัญให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้เสพสื่อ กรณีของแจ็กแปปโฮและกระแสสังคมที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ถึงแม้ตัวเลขยอดวิวจะสามารถแปลงเป็นรายได้มหาศาล แต่ความยั่งยืนของอาชีพนี้กลับขึ้นอยู่กับ "ความไว้วางใจ" และ "คุณค่า" ที่มอบให้กับสังคม การสร้างคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์โดยไม่กระทบผู้อื่น ยังคงเป็นหนทางที่ปลอดภัยและยั่งยืน การตระหนักรู้ทางดิจิทัล (Digital Literacy) จึงเป็นสิ่งที่ต้องเร่งสร้างให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถเสพสื่ออย่างรู้เท่าทัน และเพื่อให้ครีเอเตอร์ตระหนักได้ว่า เสรีภาพในการนำเสนอต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสังคม








