เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ข้อความผ่านเพจ “หมอเจด” เตือนประชาชนให้ระวังอาการ มือชา–เท้าชาในตอนเช้า ซึ่งอาจไม่ใช่แค่อาการนอนทับเส้น แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าระดับ น้ำตาลในเลือดกำลังมีปัญหา
นพ.เจษฎ์ ระบุว่า หลายคนตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกมือชา เท้าชา เหมือนเลือดไม่เดิน ต้องขยับนิ้ว บีบมือ หรือเดินไปเดินมาก่อนอาการจะดีขึ้น และมักปลอบใจตัวเองว่าเกิดจากการนอนทับเส้น แต่ในความเป็นจริง หากอาการดังกล่าวเกิดบ่อยหรือเป็นซ้ำ โดยเฉพาะช่วงเช้า อาจเป็นผลจากน้ำตาลในเลือดที่เริ่มทำร้ายเส้นประสาทอย่างเงียบ ๆ
สาเหตุสำคัญ ได้แก่
1. น้ำตาลสะสม ทำให้เส้นประสาทขาดอาหาร
เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน จะทำให้หลอดเลือดเล็กที่ไปเลี้ยงเส้นประสาทตีบ เลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการชา โดยเฉพาะปลายมือปลายเท้า และจะรู้สึกชัดเจนในช่วงเช้า หากปล่อยไว้นานอาจพัฒนาเป็นอาการแสบ ร้อน หรือปวดจี๊ดตามมา
2. กินหวานหรือแป้งมากในมื้อเย็น
การบริโภคข้าว ของหวาน หรือเครื่องดื่มหวานช่วงเย็น ทำให้น้ำตาลในเลือดแกว่งตลอดคืน ส่งผลให้เส้นประสาทระคายเคือง ตื่นมาจะรู้สึกมือชา เท้าชา หรือเหมือนสวมถุงมือถุงเท้าตลอดเวลา
3. ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
แม้ระดับน้ำตาลยังไม่สูงผิดปกติ แต่ร่างกายเริ่มดื้อต่ออินซูลิน น้ำตาลไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ เส้นประสาทจึงขาดพลังงานและเกิดอาการชา เหน็บ หรือคล้ายไฟช็อตเล็ก ๆ โดยมักเกิดก่อนเป็นเบาหวานจริงหลายปี
4. สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
หากมีอาการมือชา เท้าชา ร่วมกับ
– ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน
– กระหายน้ำ หิวบ่อย
– เหนื่อยง่าย ง่วงทั้งวัน
– แผลหายช้า
ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบน้ำตาลในเลือดเริ่มเสียสมดุล และเส้นประสาทอาจถูกทำลายมากขึ้น หากปล่อยไว้นาน โอกาสฟื้นตัวจะลดลง
นพ.เจษฎ์ ย้ำว่า อาการมือชา เท้าชาในตอนเช้า ไม่ได้หมายความว่าเกิดจากการนอนทับเส้นเสมอไป แต่บ่อยครั้งเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาน้ำตาลในเลือด การรู้เท่าทันตั้งแต่เนิ่น ๆ ปรับพฤติกรรมการกิน ลดหวาน ลดแป้ง และเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย จะช่วยลดความเสี่ยงก่อนเกิดอาการชาถาวรได้







