มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดตัว Mental Well-being Center (MWC) ศูนย์สุขภาวะ เพื่อเป็นกลไกหลักในการดูแลสุขภาพใจนักศึกษาอย่างครบวงจร ทั้งการส่งเสริม การป้องกัน และการแก้ไข ภายใต้การบริหารงานของหน่วยงาน General Support &Services ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วันวร จะนู ผู้เชี่ยวชาญพิเศษอาวุโส โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญนำโดยดร.อสมา คัมภิรานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์ฯ และนางสาวอรวรรณ พิทยาวรกุล นักจิตวิทยาประจำศูนย์ฯ ที่ทำงานด้านนี้อย่างใกล้ชิด
การจัดตั้ง MWC สะท้อนบทบาทใหม่ของมหาวิทยาลัยในการสร้างนักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ไม่เพียงมีความสามารถ แต่ยังมีความมั่นคงด้านจิตใจ เพื่อพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีหมุดหมายสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการค้นพบพลังบวก (Growth Mindset) และการใช้ชีวิตอย่างสมดุลท่ามกลางความท้าทายในอนาคต
Mental Well-being Center (MWC) คือชื่ออย่างเป็นทางการของศูนย์สุขภาวะ ภายใต้การดูแลของสายงาน General Support & Services ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางใจสำหรับนักศึกษาทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดปัญหาก่อนจึงจะขอรับบริการ และยังครอบคลุมผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งคำถามกับเส้นทางชีวิต หรืออยากพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นโดยไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหน เพื่อให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้และเติบโตได้เต็มศักยภาพบนฐานของจิตใจที่มั่นคง
ดร.อสมา คัมภิรานนท์ ผู้อำนวยการ MWC อธิบายว่า “การเข้ามาที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีปัญหา ศูนย์ฯ เป็นพื้นที่สำหรับทุกคนที่อยากทบทวน อยากหาคำตอบให้กับตัวเอง หรืออยากเติมแรงบันดาลใจเพื่อก้าวต่อไป เราอยากให้นักศึกษารู้สึกว่าเมื่อก้าวเข้ามาแล้ว จะมีคนคอยรับฟังและช่วยให้มองเห็นศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง”
ศูนย์ MWC ยังทำหน้าที่ “เสริมศักยภาพพื้นฐานทางใจ” ให้นักศึกษาได้มองตัวเองอย่างชัดเจนขึ้น ก่อนจะก้าวเดินต่อไปด้วยความมั่นใจ เพื่อให้นักศึกษาพร้อมทั้งความมั่นคงทางใจและศักยภาพในการพัฒนาตัวเอง โดยหนึ่งในแนวคิดหลักของศูนย์คือการยกระดับนักศึกษาจากจุดที่เป็นอยู่ให้ “บวกหนึ่ง” (Positive one) ภายใต้คอนเซ็ปต์ Bright and Smile ที่ออกแบบมาเพื่อให้นักศึกษาทุกคนสามารถพัฒนาความเข้มแข็งทางใจได้ต่อเนื่อง ทั้งนักศึกษาที่อยู่ในภาวะปกติ (0) และผู้ที่เผชิญความเครียดเชิงลบ (-)
“Bright and Smile คือความรู้สึกสดชื่น สว่าง และแจ่มใส อารมณ์เหมือนเข้ามาจากเดิมอาจไม่ค่อยเฉิดฉาย แต่ที่นี่ช่วยให้นักศึกษาเริ่มเปล่งประกายขึ้น เราจึงเน้นให้เด็กเข้าใจและจัดการอารมณ์ของตัวเอง (EQ) ฝึกความยืดหยุ่นเมื่อเผชิญความล้มเหลว (Resilience หรือ RQ) เสริมการกำกับตัวเองทั้งในการเรียนรู้และชีวิต ซึ่งทั้งหมดก็จะช่วยสร้าง Growth Mindset เพื่อให้ศักยภาพที่มีอยู่ปรากฏและใช้งานได้เต็มที่เมื่อจิตใจเริ่มมั่นคง” ดร.อสมา กล่าวเสริม
ในเชิงรุก ศูนย์ฯ ได้ขยายผลยุทธศาสตร์การป้องกันปัญหาทางใจผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง โดยความสำเร็จที่ผ่านมาคือการผนึกกำลังกับ คณะนิเทศศาสตร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง และจากผลตอบรับดังกล่าว ศูนย์ฯ จึงเตรียมร่วมมือกับ คณะพยาบาลศาสตร์ พร้อมด้วยคณะนิเทศศาสตร์อีกครั้ง เพื่อจัดกิจกรรมพิเศษในช่วงก่อนวันวาเลนไทน์ (ประมาณวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569) ในรูปแบบบูทให้คำปรึกษาที่เข้าถึงง่ายตามเสียงเรียกร้องของนักศึกษา
“เรานำเทคโนโลยีเชิงบวก หรือ Positive Technology และเครื่องมือสื่อสาร อาทิ การ์ดจิตวิทยาเชิงบวก มาเป็นสื่อกลางให้นักศึกษาได้ลองอ่านและสะท้อนความเชื่อมโยงกับชีวิตตนเอง วิธีนี้จะเป็นสะพานเชื่อมให้เด็ก ๆ เปิดใจเล่าเรื่องราวได้ง่ายขึ้น มากกว่าการเดินเข้ามาปรึกษาแบบทางการ” ดร.อสมา ระบุด้วยรอยยิ้ม
ความร่วมมือกับคณะพันธมิตรในลักษณะนี้ เปรียบเสมือนการส่งมอบอ้อมกอดทางใจที่เข้าถึงง่าย ช่วยสลายกำแพงความกังวลและทำให้การดูแลใจกลายเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อให้นักศึกษาได้ค้นพบความเชื่อมั่นและพร้อมจะเติบโตไปตามจังหวะชีวิตของตนเองอย่างมีความสุข
ผศ.ดร.วันวร จะนู ผู้เชี่ยวชาญพิเศษอาวุโส GeneralSupport & Services มองว่าการดูแลใจคือรากฐานสำคัญ “ถ้าจิตใจสมดุลและมั่นคง ศักยภาพของนักศึกษาก็จะพัฒนาได้เต็มที่ แต่หากข้างในสั่นคลอน ต่อให้มีความสามารถก็ใช้งานได้ยาก” ด้วยเหตุนี้ ศูนย์ฯ จึงถูกออกแบบให้เป็น “พื้นที่ปลอดภัยและอบอุ่น” (Safe Zone) ที่นักศึกษาสามารถเข้ามาพูดคุยได้ “ทุกเรื่อง” เพื่อสร้างวัฒนธรรมการดูแลซึ่งกันและกัน ผ่าน 3 แนวทางหลัก
กลไกสำคัญเริ่มจากการมุ่งสร้างความเข้มแข็งผ่านงานด้าน การส่งเสริม (Promotion) โดยมีโครงการ“Mindful Campus” และพื้นที่ “Mind/Well-Being Zone” เป็นจุดพักใจสำหรับสร้างกิจกรรมเชิงบวกในชีวิตประจำวัน พร้อมเน้นพัฒนานักศึกษาผู้นำให้มีทักษะในการเข้าใจตนเองและช่วยเหลือเพื่อนได้ นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษาและบุคลากรทุกระดับ ให้มีทักษะในการสังเกตและสร้างบรรยากาศที่ดีและเป็นมิตร เอื้อต่อการดูแลกันทุกตารางเมตรภายในรั้วมหาวิทยาลัย
ในขณะที่ด้าน การป้องกัน (Prevention) ศูนย์ฯ ได้นำเทคโนโลยีเชิงรุกอย่างระบบ Online Screening (EQ, RQ, ST, DASS-21) และ Data Dashboard มาใช้วิเคราะห์แนวโน้มและเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงอย่างแม่นยำ เพื่อให้การช่วยเหลือเข้าถึงนักศึกษาได้ทันท่วงที ส่วนสุดท้ายคือ การแก้ไข (Intervention)ดำเนินการผ่านคลินิก “Talk & Care” ที่ให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยาแก่ทั้งบุคคล กลุ่ม และครอบครัว เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสมและคลี่คลายสถานการณ์เฉพาะหน้า พร้อมเสริมภูมิคุ้มกันทางใจให้นักศึกษาสามารถก้าวเดินต่อได้อย่างมั่นใจ แม้ในวันที่สถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เป็นใจ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความสมดุลทางจิตใจ ซึ่งหมายถึงการรักษาสมดุลระหว่างตนเอง ครอบครัว หน้าที่การงาน และงานอดิเรก หากสมดุลเหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ชีวิตก็จะมีความสุขและดำเนินไปอย่างราบรื่น” ผศ.ดร.วันวร สรุป
นางสาวอรวรรณ พิทยาวรกุล นักจิตวิทยาประจำศูนย์ฯ อธิบายเพิ่มเติมว่า การทำงานของ MWC ครอบคลุมไปถึงมิติสวัสดิการและทุนการศึกษา เพื่อลดความกังวลทางใจให้นักศึกษามีสมาธิกับการเรียนรู้ได้เต็มที่
ในมิติของการสร้างระบบนิเวศแห่งความปลอดภัย ศูนย์ฯ ยังเชื่อมโยงการทำงานกับเครือข่ายภายนอกผ่านการทำ MOU กับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และประสานงานกับเครือข่ายความปลอดภัยชุมชนในรัศมี 5 กิโลเมตรรอบมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างระบบดูแลที่ต่อเนื่องและเท่าทันต่อความท้าทายที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังรับผิดชอบงานด้านสันติวิธี (Peaceful Methods) และการคัดกรองความช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์อย่างเป็นระบบทั้งภายใน-ภายนอก เช่น กรณีการเกิดภัยพิบัติต่างๆ ที่พิจารณาความต้องการเชิงลึก (ระดับ 1-4) เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือให้ถึงมือผู้ที่จำเป็นที่สุด
หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นผลชัดเจนคือ การทำงานเชิงลึกด้านทุนการศึกษา ซึ่ง MWC ทำหน้าที่เป็นจุดประสานงานสำคัญในการช่วยเหลือนักศึกษาที่เผชิญวิกฤตค่าใช้จ่ายกะทันหัน ให้สามารถเข้าถึงทุนฉุกเฉินหรือทุนต่อเนื่องได้ทันเวลา อีกทั้งยังแนะนำเครื่องมือทางการเงินที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล อาทิ กองทุนกู้ยืมเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกองทุน DPU Bright ที่หักลบจากค่าเทอมได้โดยตรง เพราะมหาวิทยาลัยเชื่อว่าการลดภาระใจแม้เพียงเล็กน้อย คือการเปิดโอกาสให้ศักยภาพของนักศึกษาได้กลับมาทำงานอย่างเต็มกำลัง
นักจิตวิทยาประจำศูนย์ฯ ยังกล่าวถึงแนวทางการทำงานว่า “เราใช้ทั้งวิธีการให้คำปรึกษาแบบตรงและแบบอ้อม แต่ส่วนใหญ่จะเน้นใช้วิธีการแบบอ้อม เพื่อให้นักศึกษาค้นพบวิธีการจัดการด้วยตนเอง โดยยึดหลักการไม่ตัดสิน เพื่อให้ผู้ใช้บริการสะท้อนความรู้สึก และอารมณ์ออกมาได้เต็มที่ในพื้นที่ปลอดภัยนี้”
นอกจากนี้ยังได้ทิ้งท้ายว่า “เราไม่สั่งว่าน้องต้องทำอะไร 1-2-3-4-5 แต่จะถามว่าน้องทำอะไรได้บ้าง และอยากเริ่มจากตรงไหน” เพื่อให้นักศึกษาไม่ปิดกั้นตัวเอง และค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในพร้อมกับความมั่นใจในตัวเอง” ซึ่งแนวทางนี้ทำให้การฟื้นฟูเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะนักศึกษาได้เลือกทางเดินด้วยตนเองในพื้นที่ที่ปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันทางใจที่แข็งแรงขึ้นทีละก้าว
สำหรับช่องทางการเข้าถึงบริการ MWC ได้ออกแบบให้สะดวกและเป็นมิตร นักศึกษาสามารถเข้ามาได้ทั้งแบบ Walk-in ที่อาคาร 10 ชั้น 3 หรือจองคิวผ่าน Line OA “DPU Mental Well-being” เพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ก็มีพื้นที่ที่พร้อมรับฟัง และพร้อมเดินเคียงข้างเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างเข้าใจ







