เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 เอ้ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กถึงกรณี “ไหม ศิริกัญญา" บิดเบือนตอบปม “คนครหาพรรคสัมคิดแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ” ไม่คิดเรื่องอื่นเลยปัญหาชายแดนก็มีมีอยู่?
“ไหม ศิริกัญญา” ตอบว่า….
“เราคิดว่ามันคือต้นตอของปัญหาทุกอย่าง ปัญหาชายแดนมันขลุกขลักเพราะการเมือง มันไม่นิ่งสักที มีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีไปสองรอบสามรอบ ส่วนหนึ่งมาจากตัวรัฐธรรมนูญ ที่ทำให้การเมืองไม่มีเสถียรภาพ อยากให้ใครอยู่ใครไปก็แค่ดีดนิ้ว และคนนั้นก็หายไป เราอยู่กันไป แบบนี้ไม่น่าจะได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชายแดนหรือปากท้องประชาชน”
ผมว่าคุณไหม บิดเบือนข้อเท็จจริง ด้วยการ ใช้คำว่า "ดีดนิ้ว" เพื่อสื่อถึงอำนาจที่มองไม่เห็นหรืออำนาจตุลาการที่แทรกแซงฝ่ายบริหาร แต่ข้อเท็จจริงทางนิติบัญญัติ โดยการพ้นจากตำแหน่งเป็นไปตามกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง
เรื่องนี้ เป็น “ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย" เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีคำพิพากษาและกระบวนการรองรับ ไม่ใช่การใช้อำนาจเถื่อน
"กรณีแต่งตั้งคุณพิชิต ชื่นบาน" ปัญหาเริ่มต้น "คดีถุงขนม 2 ล้าน"
ย้อนกลับไปเมื่อ มิถุนายน 2551 สมัยที่คุณพิชิต ชื่นบาน เป็นทนายความให้คุณทักษิณ ชินวัตร ใน "คดีที่ดินรัชดา" ได้นำถุงกระดาษใส่เงินสด 2 ล้านบาท (อ้างว่าเป็น "ขนม") ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา จากเหตุการณ์นั้นทำให้ ศาลมีคำสั่งจำคุกคุณพิชิต 6 เดือน (ไม่รอลงอาญา) ในฐานความผิด "ละเมิดอำนาจศาล" และสภาทนายความได้ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ 5 ปี
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พิชิตขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และเศรษฐาในฐานะนายกฯ “รู้หรือควรรู้” แต่ยังแต่งตั้ง จึงถือว่าฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง
นี่คือ การบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง
ส่วนแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ด้วย "ปม คลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน"
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้แพทองธารพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เพราะถือว่าฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีที่มีคลิปเสียงหลุดการสนทนาระหว่างคุณแพทองธารกับ สมเด็จฮุน เซน โดยบทสนทนาในคลิปถูกศาลมองว่ามีเนื้อหาที่ "ลดทอนเกียรติภูมิของนายกรัฐมนตรีไทย" และอาจตีความได้ว่ามีการเจรจาที่เอื้อประโยชน์หรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่กระทบต่อ "ความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ" ในช่วงที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชากำลังตึงเครียด
การกระทำดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและมาตรฐานทางจริยธรรม เพราะผู้นำประเทศต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการเจรจากับผู้นำต่างชาติที่มีข้อพิพาทด้วย
คำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญในคดีของเศรษฐาและแพทองธาร “ไม่ใช่ดีดนิ้ว แต่ผิดจริยธรรมร้ายแรง"
หากผู้นำทำผิดกฎหมายหรือจริยธรรม การมีกลไกเอาผิดถือเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ความไร้เสถียรภาพ แต่คือความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย
ที่สำคัญ คดี “คลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน" นี่แหละคือต้นตอของสงครามข้อพิพาทชายแดนภาคเขมรในปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะรัฐธรรมนูญปี 60 ที่ “ไหม ศิริกัญญาและพรรคประชาชน ” ต้องการยกเลิกและร่างใหม่
วิกฤตการณ์ชายแดนในปัจจุบันลุกลามเพราะประชาชนและกองทัพเกิดความรู้สึกว่า "รัฐบาลอาจจะไปตกลงอะไรที่เสียเปรียบไว้" ผ่านคลิปเสียงนั้น
การแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ช่วยเรียกคืนความเชื่อมั่นตรงนี้ สิ่งที่ทำลายความเชื่อมั่นคือ "เนื้อหาในคลิป" ที่แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์ส่วนตัวเหนือผลประโยชน์ชาติ
ดังนั้น การที่พรรคประชาชนพยายามโยงวิกฤตชายแดนเข้ากับการแก้รัฐธรรมนูญ จึงเป็นตรรกะวิบัติแบบ 'จับแพะชนแกะ
มีหลักฐานชัดเจนจากคลิปเสียงว่ามีการเจรจาที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคง การแก้รัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่ทางออกของปัญหาชายแดน แต่เป็นการฉวยโอกาสทางการเมืองในช่วงวิกฤตเท่านั้น
ดังนั้นที่บอกว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญเพราะรัฐธรรมนูญมีปัญหาทำให้การเมืองไม่มีเสถียรภาพและเป็นต้นตอของปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทยกับเขมร เป็นเรื่องโกหกของพรรคประชาชน เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งคนไทยกังวลว่าพรรคส้มมีจุดมุ่งหมายจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 (31 ม.ค. 2567)
ศาลวินิจฉัยว่า การที่พรรคก้าวไกลเสนอนโยบายแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง ถือเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อ "ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
เมื่อศาลตัดสินเช่นนี้ ความพยายามรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่พรรคประชาชนผลักดัน จึงทำให้สังคมอดระแวงไม่ได้ว่าจะมีการแตะหมวด 1 (บททั่วไป) และหมวด 2 (พระมหากษัตริย์) หรือไม่ แม้จะบอกว่าไม่แตะก็ตาม
"บ้านที่มีโครงสร้างไม่ถูกใจ" (รัฐธรรมนูญ) ไม่ได้ทำให้ "ไฟไหม้บ้าน" แต่คนที่ "จุดไฟ" (คลิปเสียง/การเจรจาลับ) ต่างหากที่เป็นต้นเพลิง ดังนั้นการโทษโครงสร้างบ้านจึงเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากคนจุดไฟ








