ดร.นงค์ลักษณ์ โชติวิทยธานินทร์ สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต นำเสนอบทความเรื่อง "การเรียนการสอนปริญญาเอกในยุคการเปลี่ยนแปลง" ความว่า การมาถึงของเครื่องมือ Generative AI อย่าง ChatGPT ได้เปลี่ยนวิธีที่นักศึกษาค้นคว้า เขียน และสรุปความรู้ และยัง “เขย่า” แกนกลางของการวัดผลในมหาวิทยาลัยทั่วโลกโดยตรง เพราะงานที่เคยมอบหมายให้ทำที่บ้าน หรือการสอบออนไลน์ซึ่งหวังพึ่งความซื่อสัตย์ของผู้เรียน กลับถูก “เอาเปรียบ” ได้ง่ายขึ้นในระดับที่ซอฟต์แวร์ตรวจจับ AI ยังแยกแยะไม่ค่อยได้ ผลลัพธ์คือความย้อนแย้งที่น่าสนใจคือ ยุคดิจิทัลสุดขั้วกำลังผลักให้การประเมินแบบ “แอนะล็อก” กลับมามีความหมายอีกครั้ง
ภาพนี้เห็นได้ชัดจากการ “ฟื้นคืน” ของการสอบปากเปล่า (Oral Exam / Viva Voce - ไววา โวเช) ซึ่งเดิมเป็นสัญลักษณ์ของการป้องกันวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกหรือการสอบวิชาชีพเฉพาะทาง แต่ปัจจุบันเริ่มขยับลงมาสู่ระดับปริญญาตรีและรายวิชาทั่วไปมากขึ้น อาจารย์ในสถาบันอย่าง University of Wyoming, Vanderbilt และ UC San Diego เริ่มให้ผู้เรียนอธิบายแนวคิดแบบเผชิญหน้าต่อหน้าอาจารย์มากขึ้น เพราะเป็นรูปแบบที่ยากต่อการพึ่งพา AI ผู้เรียนต้องนั่งสนทนาในเวลาจำกัด
ถูกซักถามทันที ณ จุดนั้น และต้องแสดง “ความเข้าใจที่แท้จริง” มากกว่าคำตอบที่เรียบหรูแต่ไม่ได้มาจากความคิดของตนเอง นักศึกษาบางส่วนสะท้อนกลับอย่างน่าสนใจว่า การสอบปากเปล่าช่วยให้เรียนรู้ดีขึ้น เพราะทำให้เตรียมตัวอย่างเป็นระบบและมองเห็นช่องโหว่ของความเข้าใจได้ชัด
พร้อมกันนั้น การสอบเขียนด้วยลายมือ (Handwriting) ก็กลับมามีบทบาทเด่นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่เกิดกระแส “Blue Book Resurgence” และในสหราชอาณาจักรที่มหาวิทยาลัยเก่าแก่หันกลับไปใช้กระดาษและปากกาอย่างจริงจัง เหตุผลไม่ใช่ความโรแมนติกของอดีต แต่เป็นตรรกะเชิงความน่าเชื่อถือ โดยในห้องสอบที่คุมสอบได้ นักศึกษาไม่สามารถเปิดหน้าต่างสนทนากับบอตหรือให้เครื่องมือช่วยแต่งสำนวนได้แบบไร้ร่องรอย น่าสังเกตด้วยว่าแต่ละภูมิภาคมี “วัฒนธรรมการสอบ” ต่างกันอยู่แล้ว เช่น อิตาลีและเซอร์เบียที่การสอบปากเปล่าแพร่หลายสูงมาก ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเดิมมีการสอบปากเปล่าในระดับปริญญาตรีน้อยมาก ก็เริ่มเพิ่มขึ้นในหลักสูตรเกียรตินิยมและสัมมนาปีสุดท้าย โดยแนวโน้มรวมคือ “Oral over Digital” เพื่อให้การประเมินกลับไปจับที่สมรรถนะจริง
อย่างไรก็ตาม หากมองเฉพาะการกลับไปสู่แอนะล็อก อาจเห็นเพียงครึ่งเดียวของการเปลี่ยนแปลง เพราะสำหรับ “ปริญญาเอก” โลกปี 2025 ขยับสู่ภาพใหญ่ที่ถูกเรียกว่า “The Hybrid & Agile Doctorate” กล่าวคือ ปริญญาเอกกำลังปรับตัวให้ยืดหยุ่น รวดเร็ว และเชื่อมกับโลกจริงมากขึ้น โดยไม่ปฏิเสธ AI แบบสิ้นเชิง แต่เปลี่ยนเป็น “สอนให้ใช้” อย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบ
ในมิติการสอน (Pedagogy & Delivery) การใช้ AI ในงานวิจัยเริ่มมองว่าเป็นทักษะจำเป็น เช่น การสังเคราะห์วรรณกรรม (Literature Synthesis) และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง โดยย้ำกรอบ AI Ethics ขณะเดียวกันหลักสูตรแบบ Hybrid PhD ก็เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับนักศึกษาที่ทำงานไปด้วย มีการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริง (VR/AR) เพื่อจำลองแล็บหรือสัมมนา และเสริมด้วย Micro-learning หรือคอร์สสั้นเฉพาะทางให้ทันต่อทักษะใหม่ เช่น Data Science สำหรับสังคมศาสตร์ หรือ Bioinformatics สำหรับชีววิทยา
ด้านหลักสูตรและสมรรถนะ (Curriculum & Competencies) โลกเริ่มยอมรับความจริงว่า “ความสำเร็จของ ป.เอก ไม่ได้ขึ้นกับความเก่งอย่างเดียว” ทำให้มีการบรรจุทักษะด้านจิตสังคม เช่น การบริหารความเครียด การจัดการความขัดแย้ง และความยืดหยุ่นทางใจ (Resilience) ควบคู่กับกระแสงานวิจัยแบบข้ามศาสตร์ (Transdisciplinary) ที่ให้เทคโนโลยีจับมือกับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อแก้ปัญหาซับซ้อนในยุค AI
ด้านการประเมินผล (Assessment & Assignments) แนวโน้มชัดคือการใช้ “ทางเลือก” มากกว่าการเขียนเล่มเดียวแบบเดิม เช่น Portfolio-based PhD หรือ Thesis by Publication รวมถึงการสอบป้องกันที่เปิดต่อสาธารณะ (Public Viva Voce) เพื่อฝึกการสื่อสาร ที่สำคัญคือแนวคิด “Oral Over Writing” ที่กลับไปใช้การสัมภาษณ์เจาะลึก/สอบปากเปล่าเพื่อยืนยันว่าเข้าใจแก่นจริง ซึ่งไม่เพียง “ต้าน AI” แต่ยังทำให้การประเมินหันกลับไปวัดสิ่งที่มีคุณค่าต่อการทำงานจริง
บทบาทอาจารย์ที่ปรึกษาก็เปลี่ยนจาก “ผู้ตรวจงาน” ไปสู่ “พี่เลี้ยง (Mentor)” ที่ทำงานแบบหุ้นส่วนมากขึ้น โดยข้อมูลจากผลสำรวจ (เช่นที่ถูกอ้างถึงใน Nature ปี 2025) ชี้ว่าการได้พูดคุยกับที่ปรึกษาอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆสัมพันธ์กับความสำเร็จและสุขภาพจิตที่ดีกว่า ขณะเดียวกันเริ่มมี Industry-Co-Supervision ให้อาจารย์จากภาคเอกชนร่วมกำกับ เพื่อให้วิจัยใช้ได้จริงในเชิงนโยบายหรือเชิงพาณิชย์
เมื่อประกอบภาพทั้งหมด จะเห็นว่า “การกลับไปสอบปากเปล่า/เขียนลายมือ” ไม่ได้เป็นการถอยหลัง แต่คือการดึงเส้นฐานของความน่าเชื่อถือกลับมา เพื่อเปิดพื้นที่ให้มหาวิทยาลัยเดินหน้าไปสู่ปริญญาเอกแบบไฮบริดอย่างมั่นคง บทเรียนสำคัญสำหรับไทยคือ ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างระหว่าง “ห้าม AI” กับ “ปล่อย AI” แต่ต้องออกแบบระบบที่ 1) ระบุขอบเขตการใช้ AI ให้ชัด
2) สอนทักษะการอ้างอิงและตรวจสอบความถูกต้อง และ 3) วัดผลด้วยเครื่องมือที่จับ “การคิดสด” และ “การอธิบายเหตุผล” เช่น การสอบปากเปล่า การนำเสนอ และพอร์ตโฟลิโอผลงาน
ยุค AI ทำให้สถาบันการศึกษาถูกบังคับให้กลับมาตอบคำถามพื้นฐานที่สุดของการศึกษาอีกครั้ง เรากำลังประเมิน “ข้อความที่เขียนได้” หรือ “ความเข้าใจที่มีอยู่จริง” หากคำตอบคืออย่างหลัง การเรียนการสอนปริญญาเอกในยุคการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่คือการออกแบบมนุษย์ให้คิดอย่างลึก ซื่อสัตย์ต่อความรู้ และสื่อสารได้อย่างมีพลังภายใต้โลกใหม่ใบเดิมที่เครื่องมือฉลาดขึ้นทุกวัน








