รองศาสตราจารย์ ดร.จิรานุช โสภา โรงเรียนการท่องเที่ยวและการบริการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต นำเสนอบทความเรื่อง “Soft Power ฉบับครูไทย : ปลูกฝังรากแก้ววัฒนธรรมสู่สากล” ความว่า ในยุคสมัยที่คำว่า "Soft Power" ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ เราเห็นภาพการผลักดันกางเกงช้าง ข้าวเหนียวมะม่วง หรือมวยไทยกลายเป็นสินค้าส่งออกทางวัฒนธรรม แต่ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจนี้ เราอาจกำลังหลงลืม "ต้นน้ำ" ที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ "ระบบการศึกษา" และ "ครู" ผู้ทำหน้าที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเป็นไทยให้หยั่งรากลึก ก่อนที่จะเติบโตไปผลิดอกออกผลในเวทีโลก หากเปรียบ Soft Power เป็นต้นไม้ใหญ่ สินค้าทางวัฒนธรรมคือดอกผลที่สวยงาม แต่รากแก้วที่คอยดูดซับสารอาหารและยึดลำต้นให้มั่นคง คือภูมิปัญญาและทัศนคติที่ถูกปลูกฝังในห้องเรียน
บทเรียนจากหน้าประวัติศาสตร์: เมื่อ "ห้องเรียน" สร้าง "ชาติมหาอำนาจ"
หากมองย้อนกลับไปในหน้าประวัติศาสตร์โลก ชาติที่ประสบความสำเร็จในการสร้าง Soft Power ไม่ได้เริ่มต้นที่การขายของ แต่เริ่มต้นที่การ "สร้างคน" ผ่านระบบการศึกษา
ญี่ปุ่นและการปฏิรูปเมจิ (Meiji Restoration) ในปี ค.ศ. 1868 ญี่ปุ่นไม่ได้เพียงแค่นำเข้าเทคโนโลยีตะวันตก แต่ญี่ปุ่นได้สร้างปรัชญา "วากง โยไซ" (Wakon Yosai) หรือ "จิตวิญญาณญี่ปุ่น วิทยาการตะวันตก" ขึ้นในโรงเรียน ครูญี่ปุ่นสอนให้เด็กเคารพในวินัยและความประณีต (Craftsmanship) ซึ่งต่อมากลายเป็นรากฐานของสินค้า "Made in Japan" ที่โลกเชื่อถือ
เกาหลีใต้และคลื่นฮันลยู (Hallyu) ก่อนที่ซีรีส์และ K-Pop จะโด่งดังไปทั่วโลกโลก รัฐบาลเกาหลีใต้วางรากฐานเรื่อง "Cultural Technology" ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 แต่สิ่งที่ลึกกว่านั้นคือการปลูกฝังความ "ฮัน" (ความมุ่งมั่นอันแรงกล้า) และความภูมิใจในชาติผ่านหลักสูตรการศึกษา ทำให้คนรุ่นใหม่ของเกาหลีกล้าที่จะนำวัฒนธรรมดั้งเดิมมาผสมผสานกับความทันสมัยได้อย่างไม่ขัดเขิน
ประวัติศาสตร์สอนว่า ครูคือวิศวกรทางวัฒนธรรม ผู้เปลี่ยนนามธรรมของ "ความเป็นชาติ" ให้กลายเป็น "วิถีชีวิต" ที่จับต้องได้
ครูไทยในฐานะ "ต้นน้ำ" ของ Soft Power
ศาสตราจารย์โจเซฟ ไนย์ (Joseph Nye) ผู้ริเริ่มคำว่า Soft Power ว่าคือ "ความสามารถในการดึงดูดและโน้มน้าวใจ โดยไม่ต้องใช้การบังคับ" ที่ผ่านมาการสอนวัฒนธรรมในโรงเรียนไทยมักเน้นรูปแบบ "Hard Power" คือการบังคับ ท่องจำ และตีกรอบความถูกต้อง ทำให้เด็กไทยมองว่าความเป็นไทยคือของ "เชย" และ "น่าอึดอัด"
ถึงเวลาที่ครูในปัจจุบัน ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น "Curator" (ภัณฑารักษ์ผู้คัดสรร) ที่นำเสนอความเป็นไทยในมุมมองใหม่ที่ "เท่" "กินใจ" และ "สากล"
เปลี่ยนความเชยให้เป็นความเท่
ครูจะทำอย่างไรให้เด็ก Gen Alpha รู้สึกว่ารากเหง้าของตัวเองนั้นเจ๋งพอที่จะอวดชาวโลก
มารยาทไทยจาก "อำนาจนิยม" สู่ "Universal Empathy" ด้วยการใช้หลักการ "Mindfulness" (สติ) และ "Respect" (ความเคารพ) เปิดมุมมองใหม่ว่า การไหว้คือการลดอัตตา (Ego) ของตนเองลงเพื่อเคารพผู้อื่น เป็นภาษากายที่แสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนที่สง่างาม (Sophisticated) ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกตะวันตกกำลังโหยหา เปรียบเทียบให้เห็นว่าเหมือนกับที่ชาวญี่ปุ่นโค้งคำนับซึ่งดูเป็นผู้ดีและมีคลาส โดยที่ครูต้องชี้ให้เห็นว่าการมี "สัมมาคารวะ" คือเสน่ห์ (Charm) ที่ทำให้คนไทยได้รับการเอ็นดูในเวทีโลก ไม่ใช่เรื่องล้าสมัย
อาหารและภูมิปัญญาจาก "วิชาการงาน" สู่ "Gastronomy & Science" ไม่เพียงสอนแค่ทำอาหารตามสูตร แต่ควรสอนสอดแทรก "Storytelling" และ "วิทยาศาสตร์ทางอาหาร" ด้วยการเปิดมุมมองใหม่ เช่น ปลาร้าอาหารที่ไม่ใช่แค่เครื่องปรุงกลิ่นแรง แต่คือภูมิปัญญาการถนอมอาหาร (Fermentation) ชั้นสูง เทียบเท่า ชีส (Cheese) ของยุโรป หรือ กิมจิ ของเกาหลี นอกจากนี้อาจชวนนักเรียนร่วมกันถอดรหัสวิทยาศาสตร์ในอาหารไทย หรือสอนเล่าเรื่อง (Storytelling) ว่าทำไมต้มยำกุ้งถึงมีสมุนไพรเหล่านี้ เป็นการสร้าง Content Creator รุ่นเยาว์แก่เด็กนักเรียน
ศิลปะและภาษาจาก "อนุรักษ์นิยม" สู่ "Pop Culture" ควรปล่อยวัฒนธรรมให้ลื่นไหลไปกับยุคสมัย ดังตัวอย่างจาก "ลิซ่า BLACKPINK" ที่ใส่ชฎาใน MV หรือใส่ผ้าไทยเที่ยวอยุธยา ความเป็นไทยสามารถอยู่บนเวทีโลกได้อย่างกลมกลืน โดยครูควรเปิดกว้างให้เด็กนำศิลปะไทยไปประยุกต์ (Collab) กับสิ่งที่พวกเขาสนใจ เช่น การออกแบบฟอนต์ไทยสไตล์กราฟฟิตี้ การแต่งเพลงแร็ปโดยใช้สัมผัสคล้องจองแบบกลอนสุนทรภู่ หรือการออกแบบลายผ้าไทยในสไตล์มินิมอล
บทสรุป สร้างคน ก่อนสร้างแบรนด์
Soft Power ไม่ใช่สิ่งที่สร้างเสร็จได้ในชั่วข้ามคืนและไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเพียงลำพัง แต่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงอยู่ที่ "หน้ากระดานดำ" ครูไทยจึงไม่ใช่แค่เรือจ้างที่ส่งคนข้ามฟาก แต่คือผู้ปลูกฝัง "รากแก้วทางวัฒนธรรม" หากครูสามารถทำให้เด็กไทย "ตกหลุมรัก" ในรากเหง้าของตนเองได้ โดยไม่ต้องยัดเยียด เด็กเหล่านั้นจะเติบโตไปเป็นฑูตวัฒนธรรมที่ทรงพลังที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะไปยืนอยู่ ณ จุดใดของโลก เพราะความเป็นไทยที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ชุดที่สวมใส่ แต่อยู่ที่ "วิธีคิด" และ "จิตวิญญาณ" ที่สง่างาม ซึ่งถูกหล่อหลอมมาจากครูผู้มีวิสัยทัศน์นั่นเอง








