สกู๊ปพิเศษ : ภักดี วีระรัตน์ - รายงาน
"ประเทศไทย" ไม่ได้เป็นแค่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่กลายเป็น "ฐานลับ" ของ "อาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ" ที่หวังใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเปิดประตูฟอกเงินสกุลคริปโตเคอร์เรนซี นับพันล้าน!
ปฏิบัติการ "ขย้ำรังโจรดิจิทัล" กลางกรุง! เกิดขึ่นเมื่อค่ำคืนของ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เวลา 20.30 น. ที่ผ่านมา หลังจากที่ "บิ๊กหยาม" พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) สั่งการให้ พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น., พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.2, พ.ต.อ.ประภาส แก้วฉีด ผกก.สน.โคกคราม, พ.ต.อ.ศานติ กรเกษม ผกก.ดส. พร้อมชุดสืบสวนนครบาล 2 และตำรวจไซเบอร์ สนธิกำลังเปิดฉากจู่โจมปฏิบัติการสำคัญ ทลายแหล่งซ่องสุมของแก๊งต่างชาติที่ลักลอบเปิดเว็บไซต์หลอกลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีในอาคารคล้ายโกดัง ท้ายซอยนวลจันทร์ 36–38 พื้นที่ สน.โคกคราม การจับกุมครั้งนี้เป็นผลจากการขยายผลปัญหาใหญ่ที่ซุกซ่อนอยู่ในเงามืดของธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset)
ปฏิบัติการครั้งนี้สามารถรวบตัวผู้ต้องหาชาวต่างชาติได้รวม 15 ราย ประกอบด้วย ชาวอาเซอร์ไบจาน 9 คน, ชาวจอร์เจีย 5 คน และชาวยูเครน 1 คน พร้อมของกลางมูลค่ามหาศาลที่ใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรม ได้แก่ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คยี่ห้อดังถึง 25 เครื่อง, เราเตอร์ 2 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 16 เครื่อง, ชุดอุปกรณ์หูฟังและสายชาร์จ 15 ชุด และที่สำคัญที่สุดคือ เอกสารสคริปต์ข้อความสำหรับหลอกลวง 5 ชุด ซึ่งเป็นพิมพ์เขียวในการต้มตุ๋นเหยื่อทั่วโลก
ชนวนเหตุเริ่มจากเจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.โคกคราม ได้รับแจ้งเบาะแสจากพลเมืองดีว่า มีอาคารคล้ายโกดังบริเวณท้ายซอย มีชาวต่างชาติเดินเข้าออก ส่งเสียงดังรบกวนตลอดเวลา เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบ และพบชาวต่างชาติ 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ และยินยอมให้ความร่วมมือเปิดประตูโกดัง เมื่อเจ้าหน้าที่ก้าวเข้าสู่ภายใน ก็ต้องพบกับภาพของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดประมาณ 15 คน กำลังนั่งประจำโต๊ะคอมพิวเตอร์และลงมือทำงานอย่างขะมักเขม้นบนเว็บไซต์ลวงโลก
จากการสอบสวนเบื้องต้น ชัดเจนว่ากลุ่มผู้ต้องหาเหล่านี้ร่วมกันเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนลงทุนในเงินคริปโตฯ ซึ่งมีพฤติการณ์ชัดเจนในลักษณะ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การเป็นผู้ให้บริการแลกเปลี่ยน (Digital Asset Exchange) หรือนายหน้า (Broker) ต้องได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น
เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาแก่ชาวต่างชาติทั้ง 15 คน ในข้อหา "ร่วมกันเป็นอั้งยี่, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต" ก่อนจะควบคุมตัวและนำส่งพนักงานสอบสวน สน.โคกคราม ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ปฏิบัติการครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทางการไทยในการปราบปรามและปรับปรุงกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่ทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ
ธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ คือ ภัยคุกคามที่ซ่อนเร้น เป็นช่องทางหลักในการ "ฟอกเงิน" ที่ได้มาจากอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การพนันออนไลน์ และการเรียกค่าไถ่ โดยมีการรายงานเงินหมุนเวียนสูงถึงหลายพันล้านบาท ซึ่งการแลกเปลี่ยนคริปโตฯ แบบไม่เป็นทางการ (Over-The-Counter หรือ OTC) โดยเฉพาะสกุลเงินที่เน้นการไม่เปิดเผยตัวตนอย่าง Tether/USDT ยิ่งเปิดช่องให้สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินและภาษีของทางการได้ง่ายดาย
การตั้งฐานปฏิบัติการหลอกลวงหรือใช้เป็นฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทยเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำลายความน่าเชื่อถือและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการคุ้มครองผู้ลงทุน ซึ่งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายไทย และอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดไปอย่างถาวร
#คริปโตเถื่อน #ฟอกเงินข้ามชาติ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #อาชญากรรมไซเบอร์ #บิ๊กหยาม #ตำรวจไซเบอร์ #นวลจันทร์ #หลอกลงทุนคริปโต #ข่าวอาชญากรรม #CryptoScam








