สกู๊ปพิเศษ Top 7 บุคคลเด่น “การเมือง–สังคม” ปี 2568 จาก “ผู้นำอำนาจรัฐ” ถึงพลังโซเชียล และคดีเขย่าสังคม
ปี 2568 นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประเทศไทย ทั้งในเชิงโครงสร้างอำนาจรัฐบาล ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ร้อนระอุ และวิกฤตศรัทธาในวงการบันเทิง นี่คือ 7 รายชื่อบุคคลที่เป็น "สปอตไลต์" ของปี 68
1. แพทองธาร ชินวัตร: จากเก้าอี้นายกฯ สู่มรสุม "คลิปเสียง" และการก้าวลงจากอำนาจ
ปี 2568 ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่าเป็นปีแห่งความผันผวน และหนึ่งในตัวละครหลักที่เผชิญแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุด คือ แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊งค์” นายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดของประเทศ จากภาพผู้นำรุ่นใหม่ที่ถูกคาดหวังให้พาการเมืองไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง กลับต้องเผชิญวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่ จนลงเอยด้วยการพ้นจากตำแหน่งในช่วงปลายปี
ช่วงแรกของการบริหาร รัฐบาลเดินหน้าเชิงนโยบายอย่างระมัดระวัง เน้นการประคับประคองเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการต่างประเทศในภูมิภาค ขณะที่ภาพลักษณ์ผู้นำหญิงรุ่นใหม่ได้รับความสนใจจากสื่อโลก
กระทั่งช่วงกลางปี 2568 การเมืองไทยปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีการเผยแพร่ คลิปเสียงการสนทนา ที่ถูกอ้างว่าเกี่ยวข้องกับการพูดคุยระหว่างแพทองธารกับ สมเด็จ ฮุน เซน ประเด็นในคลิปเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวด้านการทูตและความมั่นคง
แม้ฝ่ายรัฐบาลจะออกมาชี้แจงถึงบริบทและเจตนา แต่คลิปดังกล่าวได้จุดชนวนคำถามสำคัญในสังคมทันที ตั้งแต่ความเหมาะสมของบทสนทนา ไปจนถึงผลกระทบต่ออธิปไตยและภาพลักษณ์ประเทศ
แรงกดดันจากสาธารณชนและฝ่ายค้าน ทำให้ประเด็นนี้ไม่หยุดอยู่แค่การอภิปรายในสภา แต่ขยายไปสู่การตรวจสอบเชิงกฎหมาย โดย ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องพิจารณาในประเด็น คุณสมบัติและความเป็นรัฐมนตรี
การไต่สวนกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจประเทศ คำถามไม่ใช่เพียงว่า “คลิปเสียงพูดอะไร” แต่คือ “มาตรฐานความรับผิดชอบของผู้นำรัฐบาลควรอยู่ตรงไหน” ระหว่างการทูตแบบไม่เป็นทางการกับข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ
และท้ายที่สุดในช่วงปลายปี 2568 คำวินิจฉัยนำไปสู่การ พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของแพทองธาร อย่างเป็นทางการ ปิดฉากเส้นทางนายกฯ หญิงที่อายุน้อยที่สุด ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ยังคงร้อนแรงและไม่แน่นอน
2. สมเด็จ ฮุน เซน: "พี่ใหญ่" ผู้สั่นคลอนสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
อดีตนายกฯ ผู้ทรงอิทธิพลตลอดกาลของกัมพูชา กลายเป็นตัวแปรสำคัญในความขัดแย้งชายแดนในปีนี้ โดยเฉพาะประเด็น "พื้นที่ทับซ้อน" ต่อความสัมพันธ์ ไทย–กัมพูชา และการปะทะบริเวณช่องบก ท่าทีที่แข็งกร้าวและการใช้สื่อโซเชียล ตอบโต้ฝ่ายไทย ทำให้ชื่อของ “ฮุนเซน” ถูกพูดถึงในฐานะผู้กุมกลไกความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ที่ตึงเครียดที่สุดในรอบทศวรรษ
แม้ “ฮุน เซน” จะส่งไม้ต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้บุตรชายแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ ชื่อของเขายังคงเป็น “ศูนย์ถ่วงอำนาจ” ทางการเมืองของกัมพูชา และส่งผลโดยตรงต่อความสัมพันธ์ ไทย–กัมพูชา ในช่วงที่สถานการณ์ชายแดนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
3. สม รังสี: "คู่ปรับตลอดกาล" กับการเขย่าบัลลังก์จากนอกประเทศ
ในปี 2568 แม้จะไม่มีฐานที่มั่นทางการเมืองในประเทศกัมพูชา แต่ชื่อของ สม รังสี กลับถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางทั้งในพนมเปญ กรุงเทพฯ และเวทีนานาชาติ เขาคือ “คู่ปรับตลอดกาล” ของระบอบอำนาจกัมพูชา และเป็นนักการเมืองไม่กี่คนที่สามารถเขย่าบัลลังก์จาก “นอกประเทศ” ได้อย่างต่อเนื่องและทรงพลัง
สม รังสี คือภาพสะท้อนของการเมืองยุคใหม่ที่ “พื้นที่” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พรมแดนรัฐ การถูกผลักให้อยู่นอกประเทศไม่ได้ทำให้เขาหายไปจากสมการอำนาจ หากกลับทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่รัฐควบคุมได้ยากยิ่งขึ้น
เวทีของเขาไม่ใช่รัฐสภา แต่คือ โซเชียลมีเดีย, เครือข่ายชาวกัมพูชาพลัดถิ่น, และ สื่อระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยขยายเสียงของเขาไปไกลกว่าการเมืองภายในประเทศอย่างที่ผู้นำฝ่ายค้านในอดีตไม่เคยทำได้
ตลอดปี 2568 สม รังสี ใช้โซเชียลมีเดียเป็น “สนามรบ” สำคัญ ทั้งการโพสต์เอกสาร ข้อมูลเชิงลึก และการตั้งคำถามเชิงจริยธรรมต่อรัฐบาลกัมพูชา โดยเฉพาะประเด็น “ธุรกิจมืด”เครือข่ายทุนเทาและความเชื่อมโยงข้ามพรมแดน
การสื่อสารของเขาไม่ใช่เพียงการวิจารณ์เชิงอุดมการณ์ แต่เป็นการใช้ “ข้อมูล” เป็นอาวุธ สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความชอบธรรมของรัฐ และกระตุ้นความสนใจจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อโลก
หากในอดีต สม รังสี คือคู่ปรับโดยตรงของ สมเด็จ ฮุน เซน วันนี้ แม้ฮุน เซน จะถอยจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่โครงสร้างอำนาจยังคงอยู่ การวิพากษ์ของสม รังสี จึงไม่ได้มุ่งไปที่บุคคลเพียงคนเดียว หากมุ่งโจมตี “ระบบ” และ “เครือข่ายอำนาจ” ที่สืบทอดกันมา
ในสายตาผู้สนับสนุน เขาคือสัญลักษณ์ของการต่อต้านอำนาจผูกขาด ในสายตารัฐกัมพูชา เขาคือภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ไม่อาจมองข้าม
สิ่งที่ทำให้การเคลื่อนไหวของสม รังสี ในปี 2568 แตกต่างจากอดีต คือ “ผลกระทบต่อประเทศไทย” การกล่าวอ้างถึงเครือข่ายทุนเทาที่เชื่อมโยงธุรกิจและการเมืองข้ามชาติ ทำให้ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องภายในกัมพูชาอีกต่อไป
4. อนุทิน ชาญวีรกูล: "ตัวแปรอำนาจ" ผู้ก้าวสู่จุดสูงสุด
ในสมรภูมิการเมืองที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ปี 2568 ถูกจารึกว่าเป็นปีแห่งการ “พลิกกระดานอำนาจ” และหนึ่งในชื่อที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด คือ อนุทิน ชาญวีรกูล ชายผู้เคยถูกนิยามว่าเป็นเพียง “ตัวแปร” แต่กลับพิสูจน์ให้เห็นว่า ตัวแปรคนนี้สามารถแปรเปลี่ยนเป็น “ผู้ชนะ” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อนุทินถูกมองว่าเป็นนักการเมืองสายปฏิบัติ ไม่ปะทะตรง ไม่เลือกข้างแบบสุดโต่ง และพร้อมเจรจากับทุกฝ่าย ภาพลักษณ์เช่นนี้ทำให้เขาและพรรคภูมิใจไทยถูกจัดวางอยู่ในบทบาท “กุญแจไขสมการ” มากกว่าผู้นำเกม
แต่ในปี 2568 เมื่อพรรคเพื่อไทยเผชิญมรสุมทางการเมืองอย่างหนัก ทั้งแรงกดดันภายในและแรงเสียดทานจากภายนอก กระดานอำนาจเริ่มสั่นคลอน และจังหวะนั้นเองที่ “ตัวแปร” อย่างอนุทิน ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการจัดตั้งอำนาจรัฐ
ความสำเร็จของอนุทิน ไม่ได้เกิดจากคะแนนนิยมเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความสามารถในการ “อ่านเกม” และ “ต่อรองอย่างมีจังหวะ” เขาสามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากหลากหลายขั้ว ทั้งกลุ่มการเมืองที่ต้องการเสถียรภาพ และกลุ่มที่มองหาโอกาสใหม่หลังความเปลี่ยนแปลง
นักวิเคราะห์มองว่า นี่คือชัยชนะของการเมืองแบบประนีประนอมเชิงยุทธศาสตร์ ที่ไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เน้นผลลัพธ์เป็นหลัก จนในที่สุด อนุทินสามารถก้าวขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ในช่วงปลายปี 2568 ได้สำเร็จ ท่ามกลางความประหลาดใจของหลายฝ่าย
อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำให้ชื่อของอนุทินถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม คือการตัดสินใจ ยุบสภาในเดือนธันวาคม 2568 เพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งใหม่ในปี 2569
5. พล.ท.บุญสิน พาดกลาง: แม่ทัพผู้พิทักษ์อธิปไตย
ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดน ไทย–กัมพูชา ที่ตึงเครียดและร้อนระอุที่สุดในรอบหลายปี ชื่อของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กลายเป็นบุคคลที่สังคมไทยจับตาอย่างใกล้ชิด บทบาทการบัญชาการเหตุปะทะในพื้นที่ ช่องบก ไม่เพียงสะท้อนความเด็ดขาดทางทหาร หากยังเผยให้เห็น “ภาวะผู้นำในยามวิกฤต” ที่ทำให้เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการพิทักษ์อธิปไตยไทยในปี 2568
เหตุปะทะตามแนวชายแดนช่วงปลายปี 2568 ไม่ใช่เพียงปัญหาทางทหาร แต่เป็นสมการซับซ้อนที่เชื่อมโยงการเมืองระหว่างประเทศ ความรู้สึกชาตินิยม และความคาดหวังของสังคมไทย ในฐานะแม่ทัพภาคที่รับผิดชอบพื้นที่ พล.ท.บุญสิน ต้องตัดสินใจภายใต้แรงกดดันรอบด้าน ทั้งการปกป้องอธิปไตย ความปลอดภัยของกำลังพล และการหลีกเลี่ยงการขยายวงความขัดแย้ง
แนวทางของเขาถูกมองว่า “หนักแน่นแต่สุขุม” ใช้กำลังเท่าที่จำเป็น ควบคู่กับการประสานงานเชิงยุทธศาสตร์ ทำให้สถานการณ์ไม่ลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันก็ส่งสารชัดเจนว่า ไทยจะไม่ยอมสูญเสียพื้นที่อธิปไตยแม้แต่นิ้วเดียว
ภาพการลงพื้นที่ การแถลงสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา และท่าทีมั่นคงของแม่ทัพภาคที่ 2 ทำให้ชื่อของ พล.ท.บุญสิน ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสื่อและโลกออนไลน์ หลายเสียงมองว่า เขาเป็นตัวแทนของ “ทหารอาชีพ” ที่ทำหน้าที่ตามกรอบรัฐธรรมนูญ ไม่เล่นการเมือง แต่ยืนอยู่แนวหน้าเพื่อปกป้องประเทศ
การได้รับการยกย่องเป็น “บุคคลแห่งปี 2568” จาก สมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า จึงไม่ใช่เพียงเกียรติยศส่วนบุคคล หากเป็นการสะท้อนความคาดหวังของสังคมต่อกองทัพไทยในยุคที่ความมั่นคงกลับมาเป็นประเด็นหลักอีกครั้ง
6. กัน จอมพลัง: พลังศรัทธา...หรือบทพิสูจน์ความโปร่งใส?
ปี 2568 คือปีหัวเลี้ยวหัวต่อของ กัน จอมพลัง บุคคลที่เติบโตจากโลกโซเชียลในฐานะ “นักช่วยเหลือภาคสนาม” สู่การจัดตั้ง มูลนิธิกัน จอมพลัง อย่างเป็นทางการ ทว่าเส้นทางที่ควรเป็นการยกระดับความน่าเชื่อถือ กลับกลายเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ เมื่อคำถามเรื่องการรับบริจาค ความโปร่งใส และบทบาทการหนุนเสริมกองทัพในพื้นที่ชายแดน ถูกยกขึ้นมาถกเถียงในวงกว้าง และลุกลามสู่วิวาทะทางกฎหมายกับ ทนายเดชา ที่สังคมจับตาอย่างใกล้ชิด
ภาพจำของกัน จอมพลัง คือคนทำงานเร็ว ลงพื้นที่จริง รับเรื่องร้องเรียนสด ๆ ผ่านหน้าจอ และระดมความช่วยเหลือแบบ “ทันทีทันใด” ความไวและความจริงใจทำให้เขากลายเป็นศูนย์รวมศรัทธาของผู้ติดตามจำนวนมาก
การตั้งมูลนิธิในช่วงต้นปี 2568 จึงถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญจาก “อาสาสมัครรายบุคคล” สู่ “องค์กร” ที่มีโครงสร้างชัดเจน ตรวจสอบได้ และขยายขอบเขตการช่วยเหลืออย่างยั่งยืน นี่คือเส้นทางที่นักกิจกรรมหลายคนเลือกเดิน เพื่อให้พลังศรัทธาไม่ขึ้นกับตัวบุคคลเพียงคนเดียว
สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในปีเดียวกัน ทำให้กัน จอมพลัง ขยับบทบาทจากการช่วยเหลือผู้เดือดร้อนทั่วไป ไปสู่การสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคง เช่น การจัดหาอุปกรณ์ สิ่งของจำเป็น และกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่
7. นานา ไรบีนา: คดีฉาวสั่นสะเทือน "แก๊งนางฟ้า"
ปิดท้ายด้วยข่าวช็อกวงการบันเทิง โดยปลายปี 2568 วงการบันเทิงและสังคมไฮโซไทยต้องเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อชื่อของ นานา ไรบีนา ถูกโยงเข้าสู่คดีอาญาฉ้อโกงประชาชนและแชร์ลูกโซ่ มูลค่าความเสียหายรวมเกือบ 200 ล้านบาท การจับกุมในเดือนธันวาคม ไม่เพียงปิดฉากภาพลักษณ์นักธุรกิจหญิงไฟแรง หากยังทำให้ “แก๊งนางฟ้า” กลุ่มเพื่อนคนดังที่เคยถูกจับตามองในแง่บวก กลายเป็นศูนย์กลางคำถามของสังคมในชั่วข้ามคืน
ต้องยอมรับว่า คดีของ นานา ไรบีนา คือหนึ่งในคดีฉาวแห่งปี 2568 ที่ตอกย้ำว่า ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ ไม่อาจทดแทนความโปร่งใสได้ จากนักธุรกิจหญิงที่สังคมชื่นชม สู่ผู้ต้องหาคดี “ธุรกิจทิพย์” เส้นทางนี้ไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของบุคคลหนึ่ง แต่ทิ้งคำถามใหญ่ไว้กับสังคมไทยว่า ในยุคที่ใครก็สร้างภาพความสำเร็จได้ เราจะปกป้องตัวเองจากภาพฝันที่อาจไม่จริงได้อย่างไร
บทสรุป: ปี 2568 คือปีที่เส้นแบ่งระหว่าง "อำนาจ" และ "ความจริง" พร่าเลือน การเมืองไทยเปลี่ยนผ่านสู่ขั้วใหม่ ขณะที่สังคมไทยเริ่มตั้งคำถามกับความโปร่งใสของทั้งบุคคลสาธารณะและผู้มีอำนาจ








