การที่พรรคเพื่อไทยประกาศเปิดตัว สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหนึ่งใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ถือเป็น "สัญญาณ" ว่าสุริยะจะยังไม่ย้ายพรรค อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ การได้รับการเสนอชื่อเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ร่วมกับ ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ และ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นการยืนยันสถานะ "ตัวจริง" ของสุริยะในพรรคเพื่อไทย นอกจากได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญเป็น ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็น "แม่ทัพ" ในการวางกลยุทธ์ คัดเลือกผู้สมัคร และคุมกระสุนรวมถึงกระแสการเลือกตั้งทั้งหมด หน้าที่นี้ต้องการความไว้วางใจจาก "เจ้าของพรรค" หรือผู้มีบารมีในพรรคอย่างสูง การมอบบทบาทนี้ให้จึงเป็นการ "ล็อกตัว" นายสุริยะให้อยู่กับพรรคไปในตัว
นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า การที่นายสุริยะได้รับตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ เป็นการส่งสัญญาณเพื่อ "สยบข่าวลือ" เรื่องการย้ายพรรคที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับ "2 ส." หรือลูกทีมที่ติดตามสุริยะมา ว่าผู้นำของพวกเขามีตำแหน่งแห่งที่ที่มั่นคงในพรรคเพื่อไทยแน่นอน แม้ในทางการเมืองจะ "ไม่มีอะไรแน่นอน 100%" จนกว่าจะถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง แต่การที่เขาสวมหมวกทั้งแคนดิเดตนายกฯ และ ผอ.เลือกตั้ง ในเวลาเดียวกันนี้ เป็นสัญญาณว่าเขาคือหนึ่งในขุนพลหลักที่จะนำทัพเพื่อไทยสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 และไม่มีแรงจูงใจที่จะย้ายพรรคในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนกลับไป จะพบว่า 2 ส. ทั้ง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน นั้นต่างเป็นเซียนการเมืองที่ไมว่าใครจะเป็นนายกฯ พวกเขาก็ได้เป็นรัฐมนตรีมาทุกยุคทุกสมัย รวมแล้วมากกว่า 16 สมัย และแน่นอนว่าหากพวกเขาเลือกจะ “ไปต่อ” กับพรรคเพื่อไทย ที่มีการมองกันว่าโอกาสของพรรคจะเป็นพรรคตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล
ในขณะที่บ้านใหญ่มุ้งต่างๆ ที่ทยอยเข้าไปรวมกันอยู่ในพรรคภูมิใจไทยนั้น อาจจะต้องเจอกับปัญหาโควตาการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างที่พรรคเพื่อไทยเคยประสบมาก่อน ฉะนั้น การปักหลักอยู่ที่พรรคเพื่อไทยในเวลานี้ ย่อมมีโอกาสมีแต้มต่อทางการเมืองสูงกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับจำนวน ส.ส. หลังการเลือกตั้งที่จะเป็นเดิมพันครั้งสำคัญ








