การเมืองไทย ไม่มีอะไร ที่เป็นไปไม่ได้ !!
การประกาศยุบสภากลางดึก หลังจากที่ “ล้มกระดาน” การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลุล่วงไปตามเกม โดยมี “สว.สีน้ำเงิน” รับบทเป็น “ผู้เล่นหลัก” เปิดเกมจับมือหักดิบ คว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระที่ 2
ทำเอาพรรคประชาชน ที่เทคะแนนสส.โหวตให้ "อนุทิน ชาญวีรกูล" ได้นั่งนายกฯให้พรรคภูมิใจไทย ได้เป็นรัฐบาล ถึงขั้นอกหัก ถูกเย้ยเยาะว่า “เดียงสา” ทางการเมือง ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยม “นักการเมือง”ประเภทเขี้ยวลากดิน
เพราะความหวังของพรรคประชาชน ดับวูบลงทันที เมื่อนายกฯอนุทิน ประกาศยุบสภา ในจังหวะที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หล่นอยู่ที่ วาระ 2
ในทางการเมืองแล้ว ต้องยอมรับว่าการยุบสภาฯ กลายเป็น “เกม” ช่วงชิงความได้เปรียบระหว่าง “สามขั้ว” ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน แต่สุดท้าย พรรคสีน้ำเงิน “ชิงลงมือ” ก่อน ประกาศยุบสภา ตัดตอนไม่ให้ใครมาตรวจสอบรัฐบาลกลางสภาด้วยญัตติซักฟอก ตามมาตรา 151
สำหรับนักการเมืองแล้ว การยุบสภา คือการปรับตัวเข้าสู่โหมดของการเตรียมลงสนามเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่อย่างไรก็ดีในอีกด้านหนึ่ง การตัดสินใจแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วยการยุบสภา ฯ อาจนำไปสู่ “ปัญหาใหม่” ตามมา
โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลของนายกฯอนุทิน อยู่ในสถานะ “รัฐบาลรักษาการ” ไม่ได้มีอำนาจเต็ม บางเรื่องทำได้ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ข้อกฎหมาย ห้ามไว้ และนอกจากนี้ แม้ “กองทัพ” เองจะยืนยันว่างานด้านความมั่นคง “ไม่สะดุด” เนื่องจากรัฐบาลและตัวนายกฯยังสามารถทำหน้าที่ได้ตามกฎหมาย
แต่อย่าลืมว่า การมีรัฐบาลและนายกฯรักษาการ ในยามที่บ้านเมืองเผชิญศึกที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เช่นนี้ พรรคภูมิใจไทยจะแน่ใจได้หรือว่าการให้อำนาจเต็มที่แก่กองทัพ หรือการเอาหลังพิงกองทัพ แล้วจะทำให้ “คะแนนนิยม” ตีตื้นขึ้นมาได้เหนือกว่าพรรคคู่แข่ง
การเอาหลังพิงกองทัพอาจเป็นเพียงการสร้างความมั่นใจ และความปลอดภัยสำหรับรัฐบาลอนุทิน แต่ไม่การันตีเสียงสนับสนุนในทางการเมือง เว้นแต่จะมีวิธิพิเศษ ตามมาเมื่อใกล้เลือกตั้ง
เว้นแต่จะเป็นความจงใจที่จะให้การแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา อยู่ในความรับผิดชอบกองทัพเป็นด้านหลัก อีกทั้งยังมีผลต่อการเจรจากับทั้งกัมพูชา ไปจนถึงสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ไทยกับกัมพูชา ยุติการปะทะ เมื่อนายกฯอนุทิน เป็นเพียงนายกฯรักษาการ
และผลจากความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เองที่กลายเป็นปัญหาใหญ่ว่า แล้วการเลือกตั้งสส.ทั่วไป จะจัด “ภายในวันเดียวกัน” ทั่วราชอาณาจักร ได้อย่างไร โดยเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัดที่อยู่ในความสุ่มเสี่ยง และยังมีเสียงปืน ควันระเบิดเกิดขึ้นต่อเนื่องกันเช่นนี้
ล่าสุดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดย “แสวง บุญมี” เลขาฯกกต. ระบุแล้วว่า มีกฎหมายที่เปิดช่องให้ “ขยาย” วันเลือกตั้งออกไปได้ เกิน 60 วัน แต่นี่คืออำนาจของกกต.ส่วนจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ นั้น เลขาฯแสวง ยังบอกไม่ได้
โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 104 ระบุว่าหากมีเหตุจำเป็น ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งตามวันที่กกต. ประกาศ กำหนดได้ ให้กกต.กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เหตุนั้นสิ้นสุดลง
เท่ากับว่าแม้จะมีการยุบสภา แต่การเลือกตั้งครั้งหน้า ยังตอบไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
นอกจากผลกระทบที่อาจทำให้การเมืองเข้าสู่การติดล็อก ด้วยเหตุที่รัฐบาลรักษาการยืดยาวออกไปแล้ว อย่าลืมว่าในด้านเศรษฐกิจ ซึ่ง “นักลงทุน” และภาคธุรกิจ จะมั่นใจต่อการเดินหน้านโยบายของรัฐบาลได้มากน้อยแค่ไหน
ส่วนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ที่รัฐบาลภูมิใจไทย ได้รับการขานรับอย่างล้นหลาม จากโครงการคนละครึ่ง พลัส และมีแผนที่จะทำต่อใน เฟส ที่2 จะทำอย่างไร เมื่อการยุบสภาที่เกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว
ทั้งนี้ รัฐบาลมีแผนที่จะหารือกับกกต.ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ เพื่อขอคำตอบว่าจะทำได้ต่อหรือไม่
การยุบสภา อาจเป็นทางออก สำหรับการ “หักดิบ” หรือการปิดจบ ของรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ไม่ต้องการถูกคว่ำกลางสภาฯ ด้วยญัตติไม่ไว้วางใจ แต่ในคราวเดียวกันกลับเกิดปัญหาใหม่ที่อาจกลายเป็นโจทย์ยาก ทั้งต่อพรรคภูมิใจไทยเอง เพราะการนั่งรักษาการยาวนาน ใช่ว่าจะเป็นการการันตี “ชัยชนะ” จากการเลือกตั้งได้เสมอไป








