บทความการเมือง

“กองทัพ” กระแสสูง “เขียว” ข่ม “การเมือง” ยืดเลือกตั้ง “ส้ม-น้ำเงิน” อ่วม !

แชร์ข่าว

กองทัพยังตอบไม่ได้ว่า “ภารกิจจะจบเมื่อไหร่” การสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ตามแนวชายแดน ที่ล่วงเข้าวันนี้เป็นวันที่ 4  โดยนับจากค่ำคืนวันที่ 7 ธ.ค.68 ที่ผ่านมา

พล.ร.ต. สุรสันต์ คงสิริ” โฆษกกระทรวงกลาโหม  ระบุว่าขึ้นอยู่กับกับปัจจัยฝ่ายไทย ยังมีปัจจัยภายนอกอื่นด้วยเข้ามาเกี่ยวข้อง

ทั้งกองกําลังทางกัมพูชาและการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคนิคต่างๆ ในเรื่องการโจมตีฝ่ายไทยต้องระมัดระวังพยายามที่จะใช้ข้อมูลข่าวสาร ข่าวกรองต่างๆ ในการประเมินสถานการณ์ ยังไม่สามารถบอกห้วงเวลาได้ว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่

สถานการณ์การสู้รบที่แนวชายแดนที่เกิดขึ้นและยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ แม้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย อาจต้องพักเบรกเรื่องของการเมือง เอาไว้ก่อน  ส่งผลให้เวลานี้ แม้นายกฯจะย้ำถึงเรื่องการยุบสภาฯ เป็นอำนาจในมือก็ตาม แต่หลายฝ่ายประเมินว่าเรื่องการเมือง เรื่องการเลือกตั้งต้องเอาไว้ก่อน

แต่การที่นายกฯอนุทิน ย้ำผ่านสื่อ และต้องการ “ส่งสาร” ไปถึง “พรรคประชาชน” เรื่องการยุบสภาตามไทม์ไลน์ เพื่อตัดกำลัง ไม่ให้พรรคส้ม ไหลไปรวมกับพรรคเพื่อไทย จับมือกันหันมาถล่มรัฐบาล

ทั้งนี้หากการเลือกตั้ง ถูกลากยาวออกไป ยืดไปจากกรอบเวลาเดิมคือเดือนมี.ค.2569  เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคง ย่อมส่งผลกระทบในทางการเมือง ตามมาอย่างน่าสนใจ !

ทันทีที่มีการประเมินว่ารัฐบาล นายกฯอนุทิน อาจจะต้อง “อยู่ต่อ” ไม่ว่าจะยาวหรือไม่ นั้นอาจเป็นความได้เปรียบ ด้วยเหตุที่เป็นฝ่าย “กุมอำนาจรัฐ” สามารถแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อวางฐานเสียงเลือกตั้ง ได้เหนือ พรรคคู่แข่ง

แต่อย่าลืมว่า ในการแก้ไขวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา นั้นหัวใจหลักอยู่ที่ “การทหาร” และ “การทูต”  แม้นายกฯอนุทิน จะไม่ได้ให้ “อำนาจเต็ม” แต่สองขาหลักส่วนนี้ ล้วนเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง

ในทางกลับกัน เมื่อกระแสกองทัพ “สูงขึ้น”  ความสำคัญของ “การเมือง” จะถูกลดทอนลงในคราวเดียวกัน แม้นายกฯอนุทิน หรือพรรคร่วมรัฐบาลเอง จะพยายามเป็นเนื้อเดียวกับกองทัพ  หรือในส่วนของพรรคประชาชน ซึ่งเวลานี้ พบว่าถูกกระแสสังคมโจมตีอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะแสดงความเห็น ทั้งในทางการเมือง หรือด้านความมั่นคง

แม้ก่อนหน้านี้ จะมีการประเมินว่า หากมีการเลือกตั้งเร็ว พรรคที่พร้อมลงสนามมากที่สุด คือพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน โดยเฉพาะพรรคประชาชนเอง ยังหวังว่า “กระแสคนรุ่นใหม่” น่าจะช่วงชิงความนิยม ได้จากพรรคในปีกของ ฝั่งอนุรักษ์นิยม

แต่ดูเหมือนว่า นับตั้งแต่สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ มาถึงการแก้ปัญหาสแกมเมอร์ ที่พรรคประชาธิปัตย์ ถูกมองว่า “เล่นบทนำ” ด้วยการเดินหน้าส่งหลักฐานกรณีขบวนสแกมเมอร์ให้กับตำรวจ จนมาล่าสุด  เมื่อการวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งหัวหน้าพรรคประชาชน ไปจนถึงคนของพรรคส้ม อย่างดุเดือด

การเลือกตั้งหากจะทอดยาวออกไป ยิ่งทำให้ “ฝ่ายการเมือง” อ่อนแอ และเสียหายมากขึ้น ทั้งด้วยสภาพความเป็นจริงของเหตุการณ์และความสำคัญของการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ลดทอน ความสำคัญของฝ่ายการเมืองที่อยู่นอกภารกิจสำคัญ หากไม่สามารถแสดงให้ประชาชนได้เห็นว่าเป็น “กำลังเสริม” ในยามบ้านเมืองคับขันได้แล้ว  โอกาสที่คะแนนนิยมจะถูกลดทอนจนเสียหาย ยิ่งมีสูง ไม่ว่าจะเป็น พรรคสีน้ำเงิน หรือพรรคส้ม ที่หวังว่าจะกวาดสส.เข้าสภาฯ แล้วเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลรอบหน้า