ในหมู่คนการเมืองที่เดินวนเวียนอยู่แถวคลองเปรมช่วงนี้ มีสัญญาณบางอย่างที่สั่นสะเทือนกว่ากระแสลมหนาวเดือนธันวาคม เพราะทันทีที่ สรวงศ์ เทียนทอง ออกมาพูดประโยคสั้น ๆ ว่า “พร้อมอภิปราย แต่ต้องเลือกเวลาเหมาะสมที่สุด” แหล่งข่าวหลายวงก็ถึงกับกระซิบว่า นี่ไม่ใช่แค่คำให้สัมภาษณ์ธรรมดา แต่เป็น “รหัสลับทางการเมือง” ที่ส่งตรงไปถึงทำเนียบรัฐบาลแบบไร้การพรางตัว
ทุกคำที่สรวงศ์เอ่ยเหมือนถูกจัดวางอย่างมีชั้นเชิง ราวกับจะบอกว่าเพื่อไทยไม่ได้แค่เตรียมอภิปราย หากกำลัง “จ่อคอหอย” รัฐบาลอนุทินอย่างเงียบเชียบ และพร้อมลงดาบในวันที่ฝ่ายบริหารไม่เหลือแรงจะตั้งรับอีกต่อไป
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยสะท้อนชัดว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการหารือไม่เป็นทางการหลายรอบในหมู่ผู้บริหารพรรค บางวงเห็นว่า “ถึงเวลาแล้ว” บางวงย้ำ “รอให้สังคมเดือดสุดก่อน” แต่ไม่ว่าจะวงไหน ทุกเสียงสอดคล้องตรงกันว่า รัฐบาลชุดนี้กำลังเสียสมดุล และการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในจังหวะที่ประชาชนกำลังโกรธแค้นจากเหตุการณ์น้ำท่วม จะสร้างแรงสั่นสะเทือนที่หนักที่สุดและทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลแบบกู้คืนยาก
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสรวงศ์ถึงเน้นย้ำว่า “จังหวะเวลา” คือหัวใจของศึกครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยกำลังรอให้ปัจจัยทุกด้านเรียงตัวอย่างสมบูรณ์ ทั้งภาพปัญหาการบริหารที่ผิดพลาด เสียงประชาชนที่กดดันเพิ่มขึ้น และความไม่พอใจในพื้นที่ภาคใต้ที่เริ่มลุกลามเป็นไฟทางการเมือง ทุกอย่างกำลังเดินเข้าสู่จังหวะที่เหมาะสมอย่างน่าประหลาด
ในอีกฟากของสนามอำนาจ แหล่งข่าวใกล้ชิดรัฐบาลระบุว่า นายกฯ อนุทิน เองก็ “ได้กลิ่นสัญญาณ” ทันทีหลังฟังคำให้สัมภาษณ์ของสรวงศ์ เพราะรู้ดีว่าเพื่อไทยวันนี้ไม่ได้เดินเกมเสียงดังแบบเดิม หากใช้ “ยุทธศาสตร์เงียบ” ที่ชี้นำจากเงาคลองเปรม นั่นคือยุทธศาสตร์ที่ปล่อยให้คู่แข่งเสียศูนย์เอง แล้วค่อยกดปุ่มเปิดศึกแบบไม่มีโอกาสตั้งการ์ด
ที่น่าสนใจคือคำของสรวงศ์ที่ว่า “ไม่กลัวคำขู่ยุบสภา” ไม่ใช่แค่คำท้าทาย หากเป็นการปิดประตูถอยของรัฐบาลอย่างแยบยล เพราะทันทีที่คำนี้หลุดจากปากเขา แหล่งข่าวทั้งในสภาและนอกสภาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หากอนุทินเลือกยุบสภาจริง ก็จะกลายเป็นภาพจำว่า “ยุบเพื่อหนีตรวจสอบ” ซึ่งเป็นภาพลักษณ์อันตรายที่สุดก่อนเลือกตั้งครั้งใหม่ และทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลแบบกู่ไม่กลับ
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลวงในยังระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคประชาชาติ มีแนวโน้มสูงที่จะเข้าร่วมอภิปรายด้วย ซึ่งหมายความว่าศึกครั้งนี้จะไม่ใช่เวทีที่เพื่อไทยลุยเดี่ยว แต่จะเป็น “มวยรุม” จากฝ่ายค้านทุกพรรค รัฐบาลจะถูกกระหน่ำโจมตีในทุกทิศทาง ที่สำคัญคือไม่มีพื้นที่ให้หลบในห้องประชุมสภาแม้แต่มุมเดียว
เสียงกระซิบจากหลายแหล่งยังเผยว่าในรัฐบาลเองเริ่มมีความกังวลหนัก หากปล่อยให้กระแสวิจารณ์เรื่องน้ำท่วมบานปลายไปมากกว่านี้ การอภิปรายจะกลายเป็นเวทีที่ฝ่ายค้านใช้ฟาดรัฐบาลในจังหวะที่ “อ่อนแรงทางสังคมสูงสุด” ไม่ใช่เพราะเสียงในสภาจะโหวตแพ้ แต่เพราะ ความรู้สึกของประชาชน กำลังสั่นคลอนรัฐบาลหนักกว่าที่ตัวเลขโพลใด ๆ จะช่วยได้
ดังนั้น คำถามที่ว่า “เพื่อไทยจะเชือดอนุทินกี่โมง?” จึงไม่ใช่คำถามลอย ๆ แต่เป็นสัญญาณว่าเวลานั้นกำลังใกล้เข้ามาเมื่อรัฐบาลอ่อนยวบที่สุด วันที่เสียงประชาชนดังกระแทกมากที่สุด วันที่ภาพลักษณ์รัฐบาลรับมือไม่ไหว และวันที่ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบต่อวิกฤตใด ๆ ได้อีกต่อไป
และตามกระแสที่กำลังปะทะอยู่เวลานี้ ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องรอถึงปีหน้า บรรยากาศทุกอย่างกำลังบอกตรงกันว่าวันนั้นกำลังไหลเข้ามาเร็วแบบไม่ปรานีใคร จนบางคนในรัฐบาลยอมรับหลังไมค์ว่า “ช่วงนี้หลับไม่สนิท”
สิ่งที่ต้องจับตาไม่ใช่แค่คำของสรวงศ์ แต่คือ “ความเงียบผิดปกติ” ของผู้มีอำนาจบางกลุ่มในเพื่อไทย ความนิ่งของแกนนำฝ่ายค้านบางคน และจังหวะความเคลื่อนไหวในสภาที่เริ่มส่งกลิ่นไม่ธรรมดา เพราะเมื่อฝ่ายค้านเงียบ นั่นหมายถึงเกมใหญ่กำลังจัดวางทีละชั้น และเมื่อเวลามาถึง เสียงระฆังอภิปรายไม่ไว้วางใจจะดังขึ้นแบบไม่มีสัญญาณเตือน
วันนั้นเองที่รัฐบาลอนุทินต้องตอบคำถามสำคัญที่สุดว่า “บริหารประเทศได้จริง หรือเพียงบริหารภาพลักษณ์?”
และเมื่อถึงเวลานั้น… เงาบางเงาจากคลองเปรม ที่ถูกจับตามองจากสังคม อาจเป็นตัวแปรหนึ่งในสมการทางการเมืองครั้งสำคัญนี้
#คลองเปรม #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #เพื่อไทย #อนุทิน








