บทความการเมือง

“บ้านใหญ่" ใต้ซุ้ม "ภูมิใจไทย" จับตา "สูตร" (ไม่) สำเร็จ คัมแบ็ก “รัฐบาล” รอบสอง

แชร์ข่าว

ภาพการเปิดตัว กลุ่มการเมืองที่พาเหรดเข้าพรรคภูมิใจไทย เมื่อวานนี้ (23 พ.ย.68) ต้องยอมรับว่านี่คือสงครามจิตวิทยาทางการเมืองที่ “ข่ม” คู่ต่อสู้ ทุกค่าย ทุกสี อย่างจงใจ ส่วนจะได้ผลหรือไม่หรือไม่ ต้องรอไปชี้ชะตากันที่ “สนามเลือกตั้ง” ในปีหน้า 2569

ดีลประวัติศาสตร์ ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้คอการเมืองหลายคนฮือฮา เพราะใครจะคิดว่า “พรรคชาติไทยพัฒนา” มรดกทางการเมืองที่ “บิ๊กเต้ง” บรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯและอดีตหัวหน้าพรรค ผู้ก่อตั้งพรรค จะเดินมาถึงจุดหักเห  

เมื่อ “ท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค นำกลุ่มการเมืองหลัก มาเปิดตัวกับพรรคภูมิใจไทยอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ปล่อยให้เป็นข่าวมาหลายวัน  ซึ่งกลุ่มการเมืองที่มาสังกัดพรรคภูมิใจไทย มีทั้งกลุ่มสุพรรณบุรี  และกลุ่มนครปฐม ที่ดูแลโดยตระกูลสะสมทรัพย์

เท่ากับว่า “10 สส.” ของพรรคชาติไทยพัฒนา “ดอง” เป็น “เนื้อเดียว” กับพรรคสีน้ำเงินไปแล้วโดย "พฤตินัย"  จากนั้นจะไปรอทาง “นิตินัย” ตามกฎหมายพรรคการเมือง เมื่อมีการประกาศ “ยุบสภา” เกิดขึ้น

หมายความว่า พรรคชาติไทยพัฒนา มาชนิด “ยกพรรค”  แม้ล่าสุด “นิกร จำนง” แกนนพรรคชาติไทยพัฒนา จะเปิดแผนการเล่น ว่า พรรคยังอยู่ ไม่ได้ยุบ ไม่ได้สลายหายไปไหน เนื่องจากเตรียมดึง “กัญจนา ศิลปอาชา”  พี่สาวของ วราวุธ มานั่ง “หัวหน้าพรรค” ต่อไป

แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อวราวุธ นำกลุ่มการเมือง เข้าร่วมงานกับพรรคสีน้ำเงิน คือความไม่พอใจ จาก “กองเชียร์” ของพรรคเอง อย่างรุนแรง โดยมีเสียงสะท้อนผ่านหน้าเพจเฟซบุค ของพรรคชาติไทยพัฒนาและวราวุธ เองว่า ไม่เลือก ,ขอให้สอบตก หรือแม้แต่ การตั้งคำถามว่าทิ้งมรดกของพ่อบรรหาร ไปได้อย่างไร

ขณะที่ดีลสุดเซอร์ไพรส์ จาก “หนู” ที่เจ้าตัวประกาศว่า สามารถ ดึง “แป๊ะ” สนธยา คุณปลื้ม แกนนำกลุ่มบ้านใหญ่ เมืองชล กับ “เสี่ยเฮ้ง”สุชาติ ชมกลิ่น รมว.ทรัพย์ฯ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ มาอยู่ใน “บ้านหลังเดียวกัน” ได้สำเร็จ !

แม้ว่างานนี้ ทั้งเสี่ยเฮ้ง และสนธยา  ต่างยืนกันคนละฝั่ง ด้วยความแค้นเดิมที่มีมา แถมเมื่อวันเปิดตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรคสีน้ำเงิน ทั้งคู่ยังเกือบ “เคลียร์กันไม่ลงตัว” ในเรื่องการคุมพื้นที่เขตเลือกตั้งในเมืองชล  หวุดหวิดจะบานปลาย ก่อนการแถลงข่าวต่อสื่อไม่กี่ชั่วโมง

แต่เมื่อการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ทั้ง “บ้านใหญ่” และ “บ้านใหม่”  รู้แล้วว่าเมื่อแข่งกันเอง ขัดแย้งกันไม่จบ จึงกลายเป็น “โอกาส” ให้ “พรรคก้าวไกล” เข้ามาปักธงแจ้งเกิด กวาดสส.ไปได้เกือบ ถึง 7 ที่นั่ง จากทั้งหมด 10 เขตเลือกตั้ง

การรวมกันระหว่าง “ บ้านใหญ่” กับ “บ้านใหม่” จะกลายเป็น “บ้านเรา” เพื่อจับมือกัน “ล้มส้ม” แล้วกวาดสส.ชลบุรี 10 เขต ในการเลือกตั้งรอบหน้า คือ “เป้าหมาย” ที่พรรคภูมิใจไทยต้องการ

พื้นที่เป้าหมายที่พรรคภูมิใจไทยวางเอาไว้ ในระดับที่เรียกว่า “เล็งผลเลิศ” คือพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีทั้งสิ้น 14 จังหวัด 59 เขตเลือกตั้ง โดย “แม่ทัพภาคใต้” อย่าง “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” ประกาศล่าสุดว่าต้องการ “30 ที่นั่ง”

จึงน่าแปลกใจที่ พรรคสีน้ำเงิน ทั้ง “อนุทิน”  และ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคตัวจริง จะเปิดปฏิบัติการ “ดูด” บรรดา “บ้านใหญ่ปักษ์ใต้” กันอย่างคึกคัก ซึ่งแน่นอนว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนไปยัง หลายพรรคการเมืองที่เคย ชนะเลือกตั้ง และมี “บ้านใหญ่” อยู่ในมือ

2 พ.ย.ที่ผ่านมา นายกฯอนุทิน บุกเข้า บ้านใหญ่เมืองตรัง ไปพบ “โกหนอ” สมชาย โล่สถาพรพิพิธ อดีต สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย 4 เขต ถือเป็นการ “ปิดดีล” อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ “ส่งสัญญาณ” กันมาพักใหญ่

ความสำเร็จการดีล บ้านใหญ่เมืองตรัง ยังถูกต่อยอดมาถึง การปิดดีลเมื่อ ได้ “นริศ ขำนุรักษ์”   จากพรรคประชาธิปัตย์ มาช่วยดูพื้นที่ จ.พัทลุง  นอกจากนี้ “ตระกูลปิตุเตชะ” จากระยอง ยังร่วมขบวน โดย “ปิยะ วปิตุเตชะ” นายก อบจ.ระยอง มาเปิดตัวร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย ส่วน “สาธิต ปิตุเตชะ” อดีต สส.ระยอง วันนี้ยังปักหลักอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์  แต่วันหน้าต้องรอลุ้นกันอีกที

การรวบรวมบ้านใหญ่ กลุ่ม ก๊วนการเมือง ของพรรคสีน้ำเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมเอาไว้สำหรับการเลือกตั้งรอบหน้า นั้น ย่อมไม่ใช่เพียงแต่การเตรียม “กำลังคน” เท่านั้น แต่ยังเป็นการจัดสรรเรื่อง “น้ำเลี้ยง” และทุนรอน ว่าใครจะดูแล รับผิดชอบตรงไหน

การมี บ้านใหญ่ และซุ้มการเมือง จากทั่วทุกทิศ แม่น้ำหลายสาย มุ่งเข้าสู่พรรคภูมิใจไทย ด้านหนึ่งคือการการันตี “ความมั่นใจ” ในการล็อคเป้าที่นั่งสส.เขต แต่สิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ คือปัญหา “ความขัดแย้ง” ภายในพรรค เหมือนกับที่ยุครัฐบาลไทยรักไทย รุ่งเรืองถึงขีดสุด เจ้าของพรรคที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”  ก็เคยใช้ “สูตรการเมือง” ลักษณะเช่นนี้มาแล้ว ต่อมาต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง แบ่งกันก๊ก  มีสารพัด “ วัง” หลังจากนั้น แต่ละ "วัง" ต่างฟาดฟันกันจน "พัง" มาแล้ว !

           

 

 

 

ข่าวแนะนำ