จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” การเมืองระหว่างประเทศ ตามมาจากนี้ได้หรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่า กรณี “ทหารไทย” ขาขาดเป็นรายที่ 7 คือ “ชนวนสำคัญ”
ที่กำลังนำมาสู่การเปิดปฏิบัติการทั้ง “รุก” และ “รับ” ของรัฐบาลไทย ทั้งจากท่าทีที่ “สหรัฐฯ” และ “มาเลเซีย” ส่งสัญญาณ “บีบ” ไทย จนทำให้ประชาชนคนไทย เอง รวมถึง ชาวมาเลเซียแสดงความไม่พอใจ ต่อ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะ ประธานอาเซียน
10 พ.ย.68 “จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์” ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่ทหารกัมพูชาลอบมาวางไว้ ที่ห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ทำให้ข้อเท้าขาด ซึ่งนับเป็น รายที่ 7 และยังเกิดขึ้นหลังจากที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ลงนามสัญญาสันติภาพ กับ “ฮุน มาเนต” นายกฯกัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ต.ค.68โดยมี “โดนัล ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯกับ อันวาร์ นายกฯมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน จนเกิดเป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์
แต่ดูเหมือนว่าสันติภาพไม่มีจริง เพราะทุ่นระเบิดที่จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ เหยียบนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็น “ของใหม่” รวมทั้งกองทัพไทย ยังมี “หลักฐาน” ชัดเจนทั้งภาพถ่ายและคลิปวีดีโอ ในมือถือของทหารกัมพูชาเอง ที่ตอกย้ำว่ามีการลักลอบเข้าฝั่งไทยและวางทุ่นระเบิดทำร้าย ทหารไทยและทำลาย “ข้อตกลง” แทบทุกเรื่องที่เกิดขึ้น
จากความสูญเสีย ครั้งล่าสุดทำให้รัฐบาลไทย ประกาศ “เลื่อนไม่มีกำหนด” ต่อการส่งตัว “18 เชลยศึกเขมร” คืน จนกว่ากัมพูชาจะเลิกเป็นปฏิปักษ์ต่อไทย
ลำพังปัญหาด้านความมั่นคงชายแดนไทย -กัมพูชา เป็นเรื่องที่หนักหนา เพราะกระทบความมั่นคงทุกระดับ โดยเฉพาะประชาชน 7 จังหวัดตามแนวชายแดนไทย -กัมพูชา แต่ดูเหมือนว่า วันนี้รัฐบาลนายกฯอนุทิน ยังต้อง “รับมือ” กับทั้งสหรัฐฯ และมาเลเซีย ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งสองประเทศ “ยืนอยู่ข้างกัมพูชา” หลังจากเกิดเหตุทหารไทยเสียขาที่ 7
เมื่อมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐฯ จะใช้มาตรการภาษี “กดดัน” ไทย ส่วนอันวาร์ เรียกร้องให้ไทย กลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา กับกัมพูชา ทั้งที่กัมพูชา เป็นฝ่าย “ละเมิดข้อตกลง” และลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารทหารไทย อย่างต่อเนื่อง
จนต่อมามีความชัดเจนว่า สหรัฐฯ ยืนยัน เรื่องปฏิญญาสันติภาพ จะไม่เกี่ยวกับเรื่อง “การค้าทุกรูปแบบ” ขณะที่ รัฐบาลไทยเองโดย “กระทรวงพาณิชย์” ได้เดินหน้า “หาตลาดใหม่” หลังจากที่ประสบความสำเร็จ การที่ “จีน” ประกาศ “รับซื้อข้าวไทย” 5 แสนตัน ในคราวที่ “ในหลวง รัฐกาลที่ 10” เสด็จเยือนจีนอย่างเป็นทางการ กระชับสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี
“สติธร ธนานิธิโชติ” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า การสื่อสารของนายกฯอนุทิน ต่อกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ภายหลังการหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกฯมาเลเซีย ว่า ท่าทีของรัฐบาลไทยสะท้อนจุดยืน “Firm but Fair”คือ หนักแน่นแต่เป็นธรรม
โดยเป็นการรักษาสมดุลระหว่างสันติภาพกับอธิปไตยแห่งรัฐ ดังนั้นการสื่อสารของนายกรัฐมนตรีครอบคลุม 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกัน คือ 1. พลวัตความมั่นคงชายแดน 2. กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ และ 3. การรักษาสมดุลระหว่างสันติภาพกับอธิปไตยแห่งรัฐ
สติธร ระบุว่า กลยุทธ์ที่ไทยใช้คือ Firm but Fair คือ ยืนบนหลักสันติวิธี แต่จะไม่เดินหน้ากระบวนการสันติภาพหากอีกฝ่ายยังละเมิดข้อตกลง ซึ่งเป็นจุดยืนที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นแนวทางที่ประเทศที่มีอำนาจระดับกลาง (middle power) ใช้ในการจัดการข้อพิพาทระดับภูมิภาค
“ วิกฤตนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาชายแดน แต่เป็น บททดสอบโครงสร้างสันติภาพของอาเซียน และศักยภาพทางการทูตของไทยในการจัดการกับภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น” สติธร ระบุ







