"ทหารไทย" ขาขาดเป็น “รายที่ 7” และยังไม่มีใครการันตีได้ว่า จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก แน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังซ้ำเติมทำให้แนวรบชายแดนไทย -กัมพูชา ยิ่งทวีความตึงเครียดขึ้นทันที่ ทั้งต่อกัมพูชาเองที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงใดๆ ไปจนถึงบรรยากาศภายในประเทศ
วันนี้เมื่อเวลา 9.30 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี กำลังพลเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะลาดตระเวนเส้นทาง เป็นเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 2 นาย คือ
1.จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ ข้อเท้าขวาขาด และ 2.พลทหารวชิระ พันธนา มีอาการแน่นหน้าอกจากแรงอัด
เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนในสังคม ตามมาพร้อมๆกับความอึดอัดคับข้องใจว่าทำไม ไทยต้องเป็นฝ่าย “เสียเปรียบ” อยู่ฝ่ายเดียว เพราะทุ่นระเบิดที่ถูกนำมาฝังเอาไว้นั้น เป็นของใหม่ พื้นที่เกิดเหตุอยู่ระหว่างเขาพระวิหาร และภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไทยกำลังผลักดันกัมพูชาออกไป
แม้ที่ผ่านมาจะมีการเจรจา แทบทุกระดับ ไปจนถึงการลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา จนนำมาสู่การลงนามถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมี “โดนัล ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มาร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2568 ที่ผ่านมา
แต่ดูเหมือนว่าจากวันนั้น ฝ่ายกัมพูชายังไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างจริงจัง ทั้งการถอนอาวุธหนัก และการร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ และการจัดระเบียบชายแดน ตามที่ได้เคยมีข้อตกลงกันแล้ว จากการประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC)
ปัญหาการเก็บกู้ทุ่นระเบิด กลายเป็นเรื่องสำคัญและสร้างความกังวลต่อฝ่ายไทยตลอดมา เพราะก่อนเกิดเหตุวันนี้ที่ทหารไทย รายที่ 7 เหยียบกับระเบิดและเสียขา มีรายงานว่า วันที่ 1 พ.ย.คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (AOT-TH) ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์การเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมของหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมที่ 3 (นปท.3) ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ที่บ้านสายโท10 ใต้ ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
ไทยได้รายงานอุปสรรค ว่า ถูกทหารกัมพูชาสกัดกั้นและไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ดังกล่าว แม้ว่าจะเป็น 1 ใน 13 พื้นที่ ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันในที่ประชุม RBC ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 31 ต.ค.68 ไปแล้ว
ขณะที่กัมพูชา ไม่ทำตามข้อตกลง เพื่อลดความตึงเครียดและแสดงความจริงใจ กลับมีความชัดเจนว่า ฝ่ายไทยมีแผนที่จะส่งตัว “18 เชลยศึกกัมพูชา” คืนให้ โดยมีกำหนดวันที่ 12 พ.ย.นี้ ท่ามกลางเสียงคัดค้าน จากคนในสังคมไปจนถึงชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ว่า การทำเช่นนั้น มีแต่ไทยจะเสียเปรียบมากขึ้น ทั้งที่ปัญหาการเก็บทุ่นระเบิดยังคาราคาซังอยู่
แต่แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์ทหารไทย เหยียบกับระเบิด สูญเสียขาเป็นรายที่ 7 วันนี้ สถานการณ์กลับมาสู่ความตึงเครียดทันที
ทั้ง “นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล” ต้องออกมาสั่ง “เบรก” ทุกข้อตกลง ที่ทำกับกัมพูชา รวมทั้งการส่งตัว 18 เชลยศึกคืนให้กัมพูชา ขั้นตอนจากนี้ กระทรวงกลาโหมเตรียมทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ และรายงานไปยังคณะผู้สังเกตการณ์ชายแดน (AOT) และรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนร่วมในการสังเกตการณ์ตามข้อตกลงดังกล่าว
อย่างไรก็ดีการดำเนินการเล่นบทแข็งของฝ่ายไทย กลับมีขึ้นภายหลังจากที่ ไทยต้องเป็นฝ่ายสูญเสีย โดยเฉพาะกำลังพล ที่ต้องเสียขา ที่7 ซึ่งอาจยังไม่จบเพียงเท่านี้ ขณะที่ความเชื่อมั่น ของรัฐบาลกับฝ่ายความมั่นคงเอง กำลังถูกตั้งคำถามด้วยเช่นกัน !








