วันที่ 17 ธ.ค. 68 เวลา 10.30 น. ที่ร้าน Sea Ya BKK เอเชียทีค นายกัณวีร์ สืบแสง หัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคพลวัต แถลงจุดยืน แนวคิด และทิศทางการทำงานทางการเมือง โดย นายกัณวีร์ อธิบายเหตุผลที่ออกจากพรรคเป็นธรรม ว่า อยากทำการเมืองประเทศไทยที่หยุดนิ่งให้เดินหน้าต่อได้ ซึ่งตนทำงานกับพรรคเป็นธรรมช่วงหนึ่งมา เป็น สส. รับใช้ประชาชนพอสมควร แต่ก็ยังเห็นความจำเป็นต้องทำการเมืองใหม่ จึงต้องหาผู้ร่วมอุดมการณ์เดินหน้าต่อไป พร้อมยอมรับมีหลายพรรคการเมืองมาพูดคุยทาบทาม เพราะเรารู้จักกับทุกพรรคอยู่แล้ว แต่ยังมีความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ ในสิ่งที่อยากจะทำจริงๆ พรรคการเมืองมีอุดมการณ์ด้านประชาธิปไตย แต่อุดมการณ์แต่ละพรรคก็แตกต่างกัน ซึ่งตนอยากทำประชาธิปไตยที่กินได้ เดินต่อไปได้ จับต้องได้
นายกัณวีร์ บอกว่า มีคนบอกว่าตนดื้อมาก มั่นใจไร้สติ แต่จะบอกว่าการมาทำพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามันยาก แต่ความมุ่งมั่นของทุกคนที่เข้ามาอยู่ในพรรคพลวัต ตนเชื่อว่ามาด้วยความตั้งใจจริง เชื่อมั่นว่าประชาชนจะเห็นถึงความตั้งใจจริง และอยากให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองไทย เพราะ 2 ปี 6 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมามันเดินหน้าไม่ได้ ดังนั้นถ้าเราไม่มั่นใจ เราไม่มาอยู่ที่นี่ในวันนี้
“ผมยืนยันชัดเจนว่าอยากเป็นรัฐบาล เพราะคงไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน ทุกพรรคมีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาประเทศชาติ ถ้าจะผลักดันการแก้ปัญหาได้ก็ต้องเป็นฝ่ายบริหาร นี่คือสิ่งที่ผมเน้นย้ำ แต่ไม่ใช่สักแต่จะว่าเข้าไปร่วมฝ่ายบริหาร ซึ่งนโยบายของเรามีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเราเป็นนักปฏิบัติได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่พรรคทางเลือก ทางรอด และเป็นทางเดียวที่จะผลักดันให้ประเทศนี้เดินหน้าต่อไปได้ จากสังคม การเมืองที่หยุดนิ่ง มันจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองใหม่ๆขึ้นมา เพราะพรรคการเมืองเดิมที่มีอยู่ไม่สามารถผลักดันได้”
สำหรับหลักการของเราจะมี 4 เสาหลัก คือ 1.ประชาชนเป็นศูนย์กลาง 2.ต้องไม่เอ็นเอียง ไม่ยึดใครเป็นตัวมั่น โดยเฉพาะเราจะไม่เกาะกลุ่มนายทุน 3.ต้องมีความเป็นกลาง 4.เสรีภาพในการทำงาน
ส่วนจะมีนโยบายอะไรที่จะบอกให้ประชาชนรับทราบนั้น อันแรกคือนโยบายด้านการต่างประเทศ เพราะนโยบายการต่างประเทศเป็นนโยบายที่ไม่เสร็จสิ้น เป็นนโยบายที่จับต้องยากในการเมืองของประเทศไทย ตนไม่ค่อยเห็นว่าจะมีพรรคการเมืองไหนชูธงนโยบายการต่างประเทศหรือการทูตออกมา เพราะ 2 ปีกว่า ทุกคนเห็น สถานการณ์ชายแดน เรื่องที่ได้รับผลกระทบการค้าการลงทุน การผลักดันคนลี้ภัยกลับประเทศ รวมถึงภาษีต่างๆ มองว่าจุดยืนทางด้านการทูตของไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นเวลา 100 กว่าปี
“หากจุดยืนทางการทูตของไทยไม่เปลี่ยนแปลง มองว่าประเทศไทยจะตกเป็นลูกไล่ในเวทีระหว่างประเทศ และเราจะไม่มีจุดยืนในเวทีต่างประเทศ และสุดท้ายประชาชนคนไทยจะได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงจุดยืนทางการทูตของประเทศไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ” นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบันเป็นเพราะประเทศไทยไล่ตามสถานการณ์ รวมถึงสถานการณ์ที่โดนบีบคั้นจากการที่เป็นสมาชิกอาเซียน และเราไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะเราวิ่งตามประเทศหลักๆ ประเทศมหาอำนาจต่างๆ หากเราไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืนทางการทูตเราไม่สามารถเดินหน้าได้
นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล เลขา พรรค กล่าวว่า พรรคพลวัต เหตุผลเดียวที่จะทำ คือต้องเป็นการเมืองที่แตกต่าง พลวัตไม่ใช่แค่การเปลี่ยน แต่จะต้องเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี
ด้าน นายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ รองหัวหน้าพรรคที่ดูแลยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง กล่าวว่า หลายคนคงคิดว่าตนและนายกัณวีร์ คงลงพื้นที่หาเสียงด้วยกัน 2 คน ต่างคนต่างถ่ายรูปกันเองลงโซเชียล แต่อยากจะบอกว่าด้วยระยะเวลาที่จำกัด ตอนนี้เราตั้งตัวแทนจังหวัดได้ 35 จังหวัดแล้ว สามารถส่งผู้สมัคร สส.เขตได้ถึง 230 เขตเป็นอย่างต่ำ เราตั้งป้าหมายที่คาดหวังว่าน่าจะช่วงชิง สส. มาได้อย่างน้อย 97 เขต โดยพรรคพลวัต จะส่ง สส. เขต ไม่ต่ำกว่า 150 เขตแน่นอน ส่วนปาร์ตี้ลิสต์มีผู้ร่วมสนใจหลังจากที่เราเปิดตัว น่าจะมีอีกหลายคน ก็คงต้องจัดลำดับให้เหมาะสม
พร้อมกันนี้ได้เปิดตัว นายอภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมงานกับพรรคพลวัต โดยนายอภิสิทธิ์ บอกว่า ตนอยากร่วมงานกับคนดี ซึ่งตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา เชื่อว่านายกัณวีร์เป็นคนดี ตนสอนหนังสือมา 20 กว่าปีในสายเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการออกแบบ ที่ผ่านมาก็ทำนโยบายเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อคืนนี้ถือว่าหมดภารกิจกับพรรคการเมืองเดิม สิ่งที่ตนอยากทำต่อคือเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพียงแต่อยากจะโฟกัสในสิ่งที่มันเห็นจริงจัง ชัดมากยิ่งขึ้นตามคาแรกเตอร์ของตน เช่น การผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ลงไปกับชุมชน เพื่อทำให้คนตัวเล็กตัวน้อยได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เอาไปทำคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และมีรายได้ในชุมชนเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้คิดว่าจะต้องพรรคเล็กพรรคใหญ่ แค่อยากทำนโยบายที่รู้สึกว่าเข้าไปแล้วทำได้ อย่างน้อยสามารถทำให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 500 800 หรือ 1000 บาท มันก็คือสิ่งที่จับต้องได้ เป็นไปได้จริง โอกาสนี้จึงอยากฝากถึงประชาชนว่า สิ่งที่เราคุยเอาไว้ก็ควรจะทำให้ได้จริง พร้อมฝากให้นายกัณวีร์ ทำให้มันจริง
เมื่อถามว่า เป็นการดูดอดีต สส. พรรคปาะชาชน มาหรือไม่ นายกัณวีร์ บอกว่า ไม่อยากให้คิดแบบนั้น ทั้งตน นายอภิสิทธิ์ และนายสุรพันธ์ ก็ได้นั่งพูดคุยกันมา 2 ปีกว่าแล้ว คุยทั้งเรื่องอุดมการณ์การเมืองและการทำงาน เราเห็นการติดชะงักที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายได้ จึงจำเป็นต้องมาร่วมทางกัน
ส่วน นายสุรพันธ์ บอกว่า ตนเป็น สส.เขต 1 จ.นนทบุรี พรรคประชาชน ก่อนจะมาอยู่พรรคพลวัต ก็มีการพูดคุยกับหัวหน้าและเลขาธิการพรรคประชาชนแล้ว เรียกว่าจากกันด้วยความเข้าใจ และต้องขออภัยพรรคประชาชนที่ต้องสรรหาผู้สมัครใหม่มาแทนตน สำหรับภาระหน้าที่ตอนนี้เป็นรองหัวหน้าพรรคพลวัต ดูแลยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง ดังนั้นตนยังลงสมัคร สส.เขต 1 จ.นนทบุรี และเป็นผู้นำให้กับผู้สมัครของพรรคต่อไป เพราะอย่างไรก็ต้องป้องกันแชมป์ และดูแลผู้สมัคร 150 เขตที่จะส่งลงสมัคร ซึ่งคาดว่าหลังจากเปิดตัววันนี้น่าจะมีคนมาร่วมงานอีก
ส่วนการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะเริ่มเมื่อไหร่ นายกัณวีร์ บอกว่า ขอให้รอตืดตามเร็วๆนี้ แน่นอนว่าแคนดิเดตนายกฯ เราก็ต้องทำให้เต็มที่ ชื่อแรกคือ กัณวีร์ สืบแสง ส่วนอีก 2 ชื่อขอให้รอติดตาม
เมื่อถามว่าถ้าเกิดไม่ได้เป็นรัฐบาล หรือเป็นรัฐบาลตั้งเป้าจับมือจับพรรคการเมืองไหน นายกัณวีร์ กล่าวว่า ถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน ส่วนจะจับมือกับพรรคไหน ถ้าจำได้ผลการเลือกตั้ง 2566 ตนชัดเจนและตรงไปตรงมา ถึงแม้ว่าระบบการเมืองไทยในระบบรัฐสภา พรรคไหนก็ตามที่สามารถรวบรวมจำนวนคนที่เป็น สส.ได้มากที่สุดก็เป็นคนจัดตั้งรัฐบาลได้เลย และในอดีตพรรคประชาชนที่ได้ชวนตนเข้าไปร่วม มองว่าตนเป็นพรรคเดียว แต่ตนสามารถแสดงให้เห็นว่าจะผลักดันเรื่องเสรีภาพในจังหวัดชายแดนใต้ พอมีการเปลี่ยนแปลงพรรคร่วมรัฐบาลสลับข้ามขั้ว ตนรับไม่ได้ จึงยึดมั่นอยู่เป็นฝ่ายค้านจนถึงวันยุบสภา ส่วนครั้งหน้าเราจะต้องเป็นฝ่ายบริหารให้ได้ โดยพรรคที่ได้อันดับ 1 หากอุดมการณ์ของเราไม่ขัดกัน สามารถคุยกันได้ แต่ถ้าขัดกันโดยสิ้นเชิงก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า พรรคการเมืองในประเทศไทยเป็นระบอบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยa








